หลังจากทางการสหรัฐฯ เข้าแทรกแซงกรณีธนาคาร Silicon Valley เพื่อลดความกังวลของสาธารณชน รวมถึงการแสดงท่าทีของ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่ามีแนวโน้มจะลดการปรับขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นไปเพื่อเรียกความเชื่อมั่นและรักษาเสถียรภาพทางการเงินของสหรัฐอเมริกา
แต่อีกหนึ่งความกังวลที่ไม่อาจมองข้ามได้ กลับเป็นการแก้ปัญหาของกลุ่มสถาบันการเงินสหรัฐฯ ในครั้งนี้อาจนำไปสู่ความผันผวนเบื้องหลังในระดับที่สูงขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบหลักจากการปิดตัวของธนาคาร Silicon Valley ได้แก่ เทคสตาร์ทอัพ บริษัทเทคโนโลยี, นักลงทุนอย่าง Venture Capital และกลุ่ม Private Equity, รวมถึงธนาคารในภูมิภาคอื่นๆ ที่มีกลุ่มลูกค้าอยู่ในระบบนิเวศเดียวกัน
สำหรับธนาคาร Silicon Valley Bank ถือเป็นศูนย์กลางในการจัดหาเงินทุนให้กับสตาร์ทอัพ ที่นับว่ามีความสำคัญเชิงระบบอย่างลึกซึ้งในระบบนิเวศทางเทคโนโลยีสหรัฐฯ มานานหลายทศวรรษ โดยสตาร์ทอัพมากกว่าครึ่งหนึ่งในสหรัฐฯ เป็นลูกค้าของธนาคาร Silicon Valley อีกทั้งส่วนมากยังใช้บัญชีของธนาคารเพียงบัญชีเดียว
นอกจากนี้ธนาคาร Silicon Valley ยังเป็นธนาคารและผู้จัดการสินทรัพย์ของ Venture Capital และกลุ่ม Private Equity มากกว่า 2,500 แห่ง ไม่ว่าจะเป็น Andreessen Horowitz (A16Z), Sequoia Capital, Accel Partners, Kleiner Perkins, Greylock , Lightspeed, Bain Capital อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในธนาคารที่จัดหาเงินดอลลาร์ให้สตาร์ทอัพต่างประเทศ เช่น จีน ที่ล่าสุดสตาร์ทอัพจีนพากันโยกเงินจาก SPD Silicon Valley Bank (SSVB) ซึ่งเป็นธนาคารร่วมทุนสาขาเซี่ยงไฮ้ไปยังธนาคารอื่นด้วยเช่นกัน
โดย หนึ่งในวิธีเบสิกในการนำเสนอทุนที่ธนาคาร Silicon Valley ใช้ในการสนับสนุนสตาร์ทอัพ คือ การปล่อยสินเชื่อ คาดหวังให้ธุรกิจเติบโต และมีกำไรเพียงพอต่อการจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้นให้กับธนาคารได้ รวมถึงการพาสตาร์ทอัพระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อให้มีช่องทางในการเพิ่มเงิน เพื่อสร้างสภาพคล่องในการหมุนเวียนกิจการ อีกทั้งยังเป็นหาเงินใช้หนี้ให้กับสถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้ ตลอดจนการเข้าไปซื้อหุ้น IPO เพื่อเข้าร่วมเป็นเจ้าของบริษัท และสามารถทำกำไรจากการขายหุ้นหลังจาก IPO ได้เช่นกัน
อย่างไรก็ดี เงินทุนสำหรับสตาร์ทอัพซึ่งถูกอัดฉีดมากเกินไปจากอัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นเวลาหลายปี ได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากการปรับตัวของอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น บวกกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมา ส่งผลต่อการระดมทุนในตลาดที่ลดลงตามลำดับ นำไปสู่จุดจบของธนาคาร Silicon Valley ที่เป็นบทเรียนสำคัญให้กับระบบนิเวศสตาร์ทอัพทั่วโลก อ่านต่อ วิกฤติศรัทธาธนาคาร Silicon Valley ปิดตัวใน 2 วัน สั่นคลอนบัลลังก์สหรัฐฯ ในฐานะเจ้าแห่งเทค
ROBLOX ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มเกมออนไลน์ มีเงินสดกว่า 5% หรือราว 50 ล้านดอลลาร์ หลักทรัพย์มูลค่า 3 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 150 ล้านดอลลาร์ผูกไว้กับธนาคาร
ROKU แพลตฟอร์มสตรีมมิง มีเงินสดกว่า 26% หรือราว 487 ล้านดอลลาร์ติดอยู่ในธนาคาร
Rocket Lab USA ผู้ผลิตจรวดอวกาศรายใหญ่ มีเงินสดกว่า 7.9% หรือราว 38 ล้านดอลลาร์ติดอยู่ในธนาคาร
Payoneer ผู้ให้บริการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ระดับโลก มีเงินสด 20 ล้านดอลลาร์ อยู่ในธนาคาร โดยบริษัทเปิดเผยว่ามียอดเงินสดคงเหลืออยู่ประมาณ 6.4 พันล้านดอลลาร์เท่านั้น
Etsy แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซและมาร์เก็ตเพลส ประกาศหยุดการจ่ายเงินให้กับผู้ขายออนไลน์ที่ใช้บัญชีธนาคาร Silicon Valley ชั่วคราวโดย 0.5% หรือประมาณ 2,700 ผู้ค้าได้รับการชำระเงินที่ล่าช้า ร้านค้าต้องหยุดการซื้อของลูกค้าชั่วคราว
Shopify ผู้ให้บริการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์สำหรับอีคอมเมิร์ซ ประกาศหยุดการจ่ายเงินให้กับผู้ขายออนไลน์ที่ใช้บัญชีธนาคาร Silicon Valley ชั่วคราว
Blockfi บริการปล่อยสินเชื่อสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัล มีเงินสด 227 ล้านดอลลาร์ติดอยู่ในธนาคาร ถึงแม้จะปิดตัวไปแล้วหลังจากวิกฤติ FTX
Circle ผู้ออกสกุลเงินดิจิทัล USDC มีเงินสด 3.3 พันล้านสหรัฐอยู่ในธนาคาร ซึ่งหลังจากประกาศทำให้ USDC ที่ตรึงกับดอลลาร์สหรัฐ หลุด Peg ลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำสุดที่ 0.87 ดอลลาร์ จาก 1 ดอลลาร์
Avalanche ผู้พัฒนา Avalanche blockchain มีเงินสด 1.6 ล้านดอลลาร์ อยู่ในธนาคาร
Ripple บริษัทคริปโตฯ และผู้ให้บริการบล็อกเชนเพื่อการโอนเงินข้ามประเทศ เปิดเผยว่ามียอดเงินสดบางส่วนอยู่ในธนาคาร แต่ไม่ได้รับผลกระทบมาก บริษัทยังคงมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง
Pantera บริษัท VC ที่เน้นคริปโตฯ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เปิดเผยว่า ธนาคาร Silicon Valley ดูแลกองทุนส่วนบุคคลให้ลูกค้ารายใหญ่อยู่ถึง 3 ราย
Nova Labs, Dapper Labs และ Yuga Labs ผู้พัฒนาคอลเลกชัน NFT ยอดนิยม Bored Ape Yacht Club มีเงินสดอยู่ในธนาคาร แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ
นอกจากนี้ยังมีบริษัทอื่นๆ อย่าง Vox Media ผู้จัดพิมพ์นิตยสาร New York และ The Verge และ Group Nine ประกาศระงับบัญชีที่ใช้บัญชีธนาคาร Silicon Valley ชั่วคราว Pinterest บริษัทโซเชียลมีเดียที่ให้บริการแพลตฟอร์มสำหรับการแชร์รูปภาพและวิดีโอ ก็มีเงินฝากที่ถูกแช่แข็งอยู่เช่นเดียวกัน
หากนับรวม Silvergate Bank ธนาคารคริปโตฯ ที่ถูกปิดกิจการไปก่อนหน้านี้ และ Signature Bank หนึ่งในธนาคารรับฝากเงินของเหล่าบริษัทคริปโตฯ กล่าวได้ว่า ยุคเทคโนโลยี Downturn คลื่นการปลดพนักงานครั้งใหญ่ในปี 2565 ที่ต่อเนื่องด้วยความล้มเหลวของ 3 ธนาคารในไตรมาสแรกของปีนี้ ลดทอนความเชื่อมั่นของตลาดเทคโนโลยีและสินทรัพย์ดิจิทัลสหรัฐฯ ไปไม่ใช่น้อย
ทั้งนี้สถานการณ์ล่าสุด นักลงทุนรายใหญ่และธุรกิจที่ไหวตัวทัน ได้จัดตั้งทั้งสินเชื่อและกองทุนฉุกเฉินสำรองสำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบ รวมตัวกันแสดงท่าทีต่อรัฐบาลและหน่วยงานเพื่อให้แสดงความรับผิดชอบอย่างเป็นธรรม สุดท้ายนี้สตาร์ทอัพและธุรกิจรายย่อยที่ได้รับผลกระทบ จะได้รับเงินทั้งหมดสำหรับเงินฝากของพวกเขาคืนทั้งหมดหรือไม่ ต้องติดตามกันต่อไป.