เงินน้อยงานเยอะ เวลาจำกัด ติดโซเชียล มองชีวิตคนอื่นดีกว่าตัวเอง 4 สาเหตุทำคนไทยหมดไฟในยุคดิจิทัล

Tech & Innovation

Digital Transformation

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

เงินน้อยงานเยอะ เวลาจำกัด ติดโซเชียล มองชีวิตคนอื่นดีกว่าตัวเอง 4 สาเหตุทำคนไทยหมดไฟในยุคดิจิทัล

Date Time: 6 ก.ค. 2567 10:00 น.

Video

สาเหตุที่ทำให้ Intel อดีตยักษ์ใหญ่ชิปโลก ล้าหลังยุค AI | Digital Frontiers

Summary

  • ETDA เผยแพร่ บทความชวนคนไทยเช็กอาการ ‘Burnout Syndrome’ พร้อมเจาะ 4 สาเหตุใหญ่ที่ทำคนไทยหมดไฟในยุคดิจิทัล พร้อมยกผลสำรวจที่เผยว่า มากกว่า 8 ใน 10 ของพนักงานทั่วโลกมีความเสี่ยงที่จะหมดไฟ สะท้อนคนทำงานทั่วทุกมุมโลกต่างกำลังเผชิญภาวะหมดไฟจากการทำงาน

ข้อมูลของ สสส. ปี 2566 พบว่า คนวัยทำงานใช้เวลาถึง 1 ใน 3 ของแต่ละวันไปกับการทำงาน และจากข้อมูลโดยมหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า คนกรุงเทพฯ 7 ใน 10 มีอาการหมดไฟในการทำงาน และจากข้อมูลของสายด่วน 1323 ของกรมสุขภาพจิต ปี 2566 พบว่า วัยแรงงานขอรับบริการเรื่องความเครียด วิตกกังวล ไม่มีความสุขในการทำงานมากถึง 5,989 สาย จากทั้งหมด 8,009 สาย และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้น 

สอดคล้องกับข้อมูลระดับโลก โดย Mercer บริษัทที่ปรึกษาด้านทรัพยากรบุคคลระดับโลก พบว่า มากกว่า 8 ใน 10 ของพนักงานทั่วโลกมีความเสี่ยงที่จะหมดไฟ โดยระบุถึงสาเหตุว่า 43% เกิดจาก ‘ความตึงเครียดทางการเงิน’ 40% ระบุว่าเกิดจาก ‘ความเหนื่อยล้า’ และ 37% ระบุว่าต้องเผชิญกับ ‘ภาระงานที่มากเกินไป’  

ด้าน ETDA หรือสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์หน่วยงานที่มุ่งส่งเสริมให้คนไทยชีวิตดีเมื่อมีดิจิทัล เผยแพร่ บทความชวนคนไทยเช็กอาการ ‘Burnout Syndrome’ พร้อมเจาะ 4 สาเหตุใหญ่ที่ทำคนทำงานในประเทศไทยหมดไฟในยุคดิจิทัล

4 สาเหตุใหญ่ ทำคนทำงานหมดไฟในยุคดิจิทัล

รายได้ที่ไม่สอดรับกับภาระงานที่ได้รับ 

รายได้ถือเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดสำหรับคนทำงาน เพราะในปัจจุบันสัดส่วนภาระงานต่อคนทำงานหนึ่งคนมีมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันรายได้ที่ได้รับกลับไม่ได้มากเพียงพอ เมื่อเทียบกับปริมาณงานและค่าครองชีพในปัจจุบันอาจทำให้คนทำงานเริ่มตั้งคำถามถึงความคุ้มค่าสำหรับรายได้ที่ได้รับกับการลงแรงทำงานที่เสียไปจนทำให้เกิดความเฉยชาต่องานมากขึ้น 

กรอบเวลาที่จำกัด 

เวลาการทำงานที่จำกัดส่งผลให้เกิดความกดดันและความเครียดมากขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุต่อเนื่องมาจากภาระงานต่อคนที่มีมากขึ้น ทำให้คนทำงานต้องบริหารจัดการงานให้เสร็จได้ทันตามกำหนดเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดจนเกิดความเครียด กดดัน และกระทบต่อความคิดสร้างสรรค์ในการทำงาน ไม่สามารถจัดการงานให้เสร็จตามกรอบเวลาที่กำหนด ขณะที่งานใหม่ก็เข้ามาเพิ่มเรื่อยๆ จนทำให้ภาวะความเครียดสะสมมากขึ้นตามมา 

สภาวะความเหนื่อยล้าทางดิจิทัล (Digital Fatigue) 

การติดต่อสื่อสาร การเปิดรับข้อมูลข่าวสารต่างๆ รวมถึงการประชุมทางออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลติดต่อกันเป็นเวลายาวนานมากๆ โดยไม่เว้นแม้แต่ตอนพัก หรือช่วงที่ใช้ชีวิตส่วนตัว จนทำให้เกิดภาวะความเหนื่อยล้าทางร่างกาย ลุกลามไปถึงทางจิตใจที่ไม่สามารถแยกชีวิตส่วนตัวกับชีวิตการทำงานออกจากกันได้ จนทำให้เกิดความเครียดสะสมโดยไม่รู้ตัว และนำไปสู่ภาวะหมดไฟในที่สุด

การเปรียบเทียบชีวิตตนเองกับผู้อื่นที่อยู่บนโลกโซเชียล 

การมองเห็นชีวิตของคนอื่นที่อยู่ในวัยใกล้เคียงกันผ่านโลกโซเชียล ทั้งคนใกล้ตัวหรือคนมีชื่อเสียงที่ประสบความสำเร็จ อาจทำให้เกิดการเปรียบเทียบกับตัวเองจนทำให้รู้สึกเครียดและกดดันว่าทำไมตัวเองถึงทำไม่ได้เท่าเขา มีไม่เท่าเขาจนเกิดความรู้สึกไม่ภูมิใจในตนเอง อีกทั้งคนในโซเชียลมีเดียก็ยังนิยมสร้างคอนเทนต์โชว์ความสำเร็จ ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสให้เราเห็นความสำเร็จของชีวิตคนอื่นมากขึ้น ตัวเองก็ยิ่งกดดันมากขึ้นจนบางครั้งเราอาจจะลืมนึกไปว่า ชีวิตอีกด้านหลังโลกโซเชียลของคนเหล่านั้น ก็อาจจะเครียดไม่ต่างไปกับเราก็ได้ 

มากไปกว่านั้น ETDA ชี้ให้เห็นว่า เมื่อรู้ถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะหมดไฟในการทำงานแล้ว วิธีที่จะตั้งรับก่อนภาวะนี้จะเกิดจึงเป็นสิ่งสำคัญ 

‘ตั้งเป้า-วางแผน–ปรับพฤติกรรม’ ช่วยบรรเทาได้ 

  • การตั้งเป้าหมายการทำงานให้ชัดเจน กล่าวคือ การตั้งเป้าหมายที่มีขอบเขตที่ชัดและวัดผลได้จริง เช่น เป้าหมายเพื่อตำแหน่งงานที่สูงขึ้น, เป้าหมายเพื่อความมั่นคงทางการเงิน เงินเดือน โบนัส นอกจากนี้หากการตั้งเป้าหมายเป็นจำนวนเงินที่คาดหวังหรือที่รับได้หากไม่เป็นดั่งหวัง หรือถ้าเป้าหมายอยู่ในระยะยาวเกินไป อาจจะลองปรับเป็นเป้าหมายระยะสั้น เช่น ทำงานเพื่อนำเงินไปใช้ในสิ่งที่ตัวเองคาดหวัง การยึดโยงการทำงานกับเป้าหมายบางอย่างเช่นนี้ จะทำให้เราสนใจที่เป้าหมายของการทำงาน มากกว่าความเครียดความกดดันที่เข้ามากระทบจิตใจระหว่างทำงาน
  • วางแผนการทำงานให้ดี หลายครั้งที่คนทำงานเลือกที่จะทำงานไปก่อน โดยไม่ได้จัดลำดับความสำคัญการทำงานให้ดี จนกระทบต่อคุณภาพของงาน แต่ยังกระทบกับทีมด้วย เช่น งานที่เรากำลังเร่งทำอาจจะเป็นงานที่ทีมไม่ได้โฟกัส จนกระทบต่อประสิทธิภาพในการทำงาน โดยทั่วไปแล้วงานในแต่ละวัน ถูกแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลักๆ คือ งานสำคัญและเร่งด่วน, งานสำคัญที่ไม่เร่งด่วน, งานไม่สำคัญแต่เร่งด่วน และงานที่ไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน ซึ่งมีวิธีการจัดการที่แตกต่างกันออกไป และเราไม่จำเป็นต้องทำงานนั้นทั้งหมด เช่น งานที่ไม่สำคัญแต่เร่งด่วน เป็นงานประเภทที่สามารถหาผู้ช่วยมาทำงานตรงนี้แทนได้ อาจจะหาคนทำงาน หรือลองใช้เทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาช่วยจัดการงานแทน อย่างการใช้เครื่องมือ AI assistant ที่เหมาะสมมาช่วยทำงานแทน และเอาเวลา ความคิดไปโฟกัสกับงานที่สำคัญ
  • สภาพแวดล้อมเอื้อให้เกิดการทำงานที่มีประสิทธิภาพ โดยต้องพิจารณาตั้งแต่ความเป็นไปได้ที่จะเติบโตในองค์กร ตามเป้าหมายที่วางไว้ เจ้านายและหัวหน้างานที่เข้ากันกับการทำงานของตัวผู้ทำงานเอง รวมถึงเพื่อนร่วมงานที่ไม่ก่อภาวะเป็นพิษ (Toxic) ในที่ทำงาน องค์ประกอบเหล่านี้มีส่วนก่อกระตุ้นให้เกิดความเครียดได้เช่นกัน ถึงแม้ว่าคนทำงานอาจจะไม่สามารถเลือกที่ทำงานที่มีแต่ข้อดีทั้งหมดได้ หากแต่พิจารณาแล้วว่าสภาพแวดล้อมการทำงานตามเกณฑ์ข้างต้นมีแนวโน้มไม่ดี ก็อาจจะต้องพิจารณาว่าสถานที่ทำงานนี้ยังเหมาะกับเราอยู่หรือไม่ หรือควรหางานที่เหมาะสมกว่านี้
  • ตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกจากชีวิตบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูล ข่าวสาร หรือการติดตามชีวิตอินฟลูเอนเซอร์บนโซเชียลมีเดีย ที่ส่งผลกระทบให้เบียดบังเวลาที่จะใช้โฟกัสไปกับการทำงาน มาเสียกับสิ่งเหล่านี้ไปโดยไม่จำเป็น อีกทั้งเรื่องราว ข่าวสารที่ได้รับโดยไม่จำเป็นก็ยังไม่นับรวมกับการเสพสื่อโซเชียล ติดตามชีวิตอินฟลูเอนเซอร์ที่ประสบความสำเร็จจนทำให้รู้สึกกดดันตนเองมากขึ้นไปอีก ทั้งหมดนี้อาจจะทำให้เกิดภาวะทางอารมณ์ที่กระทบต่อจิตใจ ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการทำงาน และเมื่องานมีปัญหา ความเครียดและความกดดันจะตามมาในที่สุด ดังนั้น คนทำงานควรปรับพฤติกรรม ติดตามข่าวสารโซเชียลแต่พอประมาณ เว้นที่ว่างให้กับจิตใจ เพื่อให้เกิดโฟกัสกับตัวเอง

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney 


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ