ผู้ปลุกปั้น ‘เป๋าตัง’ มอง เงินดิจิทัล 10,000 บาท ใช้แอปฯ เดิมต่อยอดได้ ประหยัดทั้งงบและเวลา

Tech & Innovation

Digital Transformation

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

ผู้ปลุกปั้น ‘เป๋าตัง’ มอง เงินดิจิทัล 10,000 บาท ใช้แอปฯ เดิมต่อยอดได้ ประหยัดทั้งงบและเวลา

Date Time: 19 ก.ย. 2566 19:15 น.

Video

ศิรเดช โทณวณิก Gen 3 ดุสิตธานี ธุรกิจที่เป็นมากกว่าโรงแรม | On The Rise

Summary

  • ปัจจุบันระบบการเงินในประเทศไทยมีความครอบคลุมและหลากหลายอย่างมาก และเทคโนโลยีบล็อกเชนยังมีข้อจำกัดในการรองรับปริมาณธุรกรรมสูงและการตอบสนองอย่างรวดเร็ว ดังนั้นจำเป็นแค่ไหนที่ประเทศไทยจะต้องมีระบบการเงินใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกระบบ และศักยภาพของแอปฯ เป๋าตังที่มีสามารถต่อยอด และรองรับบริการต่างๆ ที่เชื่อมโยงรัฐบาลและประชาชนได้มากน้อยแค่ไหน

นายสมคิด จิรานันตรัตน์ อดีตที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการเงิน ซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการพัฒนาแอปฯ เป๋าตัง กล่าวในรายการ Money Issue ว่า การพัฒนาของระบบการเงินในประเทศตอนนี้ถือว่าครอบคลุมได้ค่อนข้างกว้าง ถ้าเป็นระบบการเงินรูปแบบเดิม วิธีเดิม มองว่าอาจจะไม่จำเป็นต้องพัฒนาระบบเพย์เมนต์ใหม่ขึ้นมา เพราะที่มีอยู่ก็ใช้ได้ค่อนข้างดีอยู่แล้ว แต่ถ้าต้องการจะพัฒนาเพื่อให้เกิดนวัตกรรม รวมถึงหาวิธีการใหม่ๆ ทางด้านการเงิน ที่อาจจะไม่ต้องผ่านระบบตัวกลางธนาคารแบบเดิมที่มีอยู่ ตรงนี้ก็เป็นเรื่องที่ดี ก็ควรที่จะสร้างระบบขึ้นมา แต่จะใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนหรือไม่ ก็เป็นไปได้ทั้งสองแบบ 

สำหรับการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในระบบเพย์เมนต์ ยังมีความกังวลค่อนข้างมากตรงที่ ถ้าหากต้องการ response time เร็ว ปริมาณธุรกรรมสูง การใช้เทคโนโลยีดังกล่าวยังคงมีข้อจำกัดอยู่ หรือว่าอีกแนวทาง หากรัฐบาลต้องการทำระบบใหม่ก็อาจจะทำเป็นกึ่ง centralize คล้ายกับการทำ Open API ที่ให้ผู้พัฒนาระบบสามารถมาเสียบปลั๊กโดยไม่ต้องผ่านระบบธนาคาร แต่เป็นระบบการเงินกลางที่เป็น centralize แล้วสามารถสเกลได้ วิธีการเช่นนี้จะช่วยให้สามารถรองรับปริมาณธุรกรรมสูงๆ ก็ทำได้เช่นเดียวกัน 

โครงการของรัฐบาลที่ผ่านมาที่มีการทำกับแอปฯ เป๋าตัง ก็ผ่านกระเป๋า G Wallet เพียงแต่ตอนนี้มันยังเป็นระบบปิดอยู่ แต่โดยเทคนิคแล้วก็สามารถปรับ G Wallet ให้กลายเป็นระบบเปิดได้ ตรงนี้ก็สามารถสร้างให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ หรือโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินใหม่ได้เช่นเดียวกัน 

“ถ้าจะบอกว่าใช้บล็อกเชน เพราะรออนาคต วันนี้อาจจะลองใช้ในสเกลเล็กๆ ก่อนที่ไม่ใหญ่มาก แต่ก็ส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมได้ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นกับบริบท และการหวังผลในอนาคตด้วย เทคโนโลยีไม่ใช่โจทย์ แต่มันเป็นแค่วิธีการ” นายสมคิด กล่าว 

นายสมคิด อธิบายต่อว่า เดิมทีแอปฯ เป๋าตัง ได้มีการพัฒนามาประมาณ 3-4 ปีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสถาปัตยกรรม ที่ทำให้มันสามารถรองรับคนจำนวนมาก และการทำธุรกรรมที่มีปริมาณสูง รวมถึงมีบริการที่หลากหลายภายในแอปฯ ที่ไม่ใช่เพียงแค่บริการของภาครัฐเท่านั้น สะท้อนให้เห็นว่าศักยภาพของแอปฯ เป๋าตังไม่ได้เป็นเพียงร้านค้าเดียว แต่เปรียบเป็นห้างสรรพสินค้าที่สามารถมีบริการต่างๆ เข้ามาอยู่ในแพลตฟอร์มได้มากขึ้น   

และภายในนั้นเราก็มีดิจิทัล วอลเล็ต ที่ไม่ได้รองรับเฉพาะบริการด้านการเงินเพียงอย่างเดียว แต่สามารถมีบริการหลายอย่างอยู่ในนั้นได้ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่เป็นสวัสดิการของประชาชน หรือว่าข้อมูลที่รับให้คูปองประชาชนไปทำสิ่งต่างๆ เพราะฉะนั้นคำว่า ดิจิทัล วอลเล็ต เราสามารถออกแบบให้เป็นความสัมพันธ์ของรัฐบาลกับประชาชนแต่ละคนได้  ที่รัฐบาลจะสามารถรับรู้และเข้าใจความต้องการของประชาชนแต่ละคนต้องการอะไร ถ้าในอนาคตรัฐบาลจะสนับสนุนในเชิงสวัสดิการที่จะเอื้อประโยชน์ให้กับประชาชนก็สามารถทำได้ ดังนั้นแอปฯ เป๋าตัง เข้ามาเป็นส่วนเสริมได้หมด โดยที่รัฐบาลไม่ต้องมีการสร้างห้างสรรพสินค้าขึ้นมาเอง เพราะเดิมทีประชาชนส่วนใหญ่ทำการพิสูจน์และยืนยันตัวตนในเเอปฯ เป๋าตังอยู่แล้ว ดังนั้นรัฐบาลเองก็ไปโฟกัสที่บริการ และการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับประชาชนได้

แม้ว่าแอปฯ เป๋าตังจะพร้อมสำหรับการรองรับบริการต่างๆ ที่รัฐบาลต้องการทำอยู่แล้ว แต่ในอนาคตถ้าหากต้องการใช้บล็อกเชนเข้ามาต่อเชื่อม นายสมคิด ให้มุมมองต่อกรณีดังกล่าวว่า ถ้าสมมติรัฐบาลบอกว่าอยากจะทำระบบการเงินที่ใช้บล็อกเชน แต่เป็นการเน้นเรื่องของนวัตกรรม ระบบการเงินรูปแบบใหม่ ไม่ใช่ระบบเพย์เมนต์ที่ใช้กับคน 56 ล้านคน อันนั้นผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี และมันจะต้องสร้างอีกระดับหนึ่งที่เรียกว่า บล็อกเชน เอนจิ้น เพื่อมาสนับสนุนวอลเล็ตอีกทีหนึ่ง มันสามารถผสมกันได้ให้ทั้งการเงินรูปแบบเดิมและรูปแบบใหม่ที่ใช้บล็อกเชน อยู่ในวอลเล็ตเดียวกัน 

“ผมมองว่าการที่รัฐบาลทำหน้าร้านของตัวเอง ที่มีทั้งระบบการเงิน และบริการอื่นๆ แล้วรัฐบาลก็ไปโฟกัสว่าจะเอื้อประโยชน์ให้ประชาชนอย่างไร ในอนาคตหน้าร้านของรัฐเอง อาจไม่จำเป็นอยู่ในเป๋าตังอย่างเดียวก็ทำได้ ออกแบบให้เป็นระบบเปิดที่อนาคตระบบไปอยู่ที่แอปไหนก็ได้ ถ้าคิดแบบนี้ก็อำนวยความสะดวกให้ประชาชนมากขึ้น และรัฐบาลเองก็ไม่ต้องลำบากลำบนที่จะสร้างแพลตฟอร์มใหม่ให้มีคนจำนวนมาก ซึ่งมันก็เป็นเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง ตรงนี้ก็จะช่วยประหยัดทั้งงบและเวลา”

อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลล่าสุดที่นายกรัฐมนตรีมีการกล่าวถึงการใช้ข้อมูลจากแอปฯ เป๋าตังนั้น นายสมคิด ให้ความเห็นว่า ขณะนี้ยังไม่ได้มีความชัดเจนที่เฉพาะเจาะจงมากนั้น แต่ถ้ามองได้ว่ารัฐไม่ได้ตั้งเป็นห้างสรรพสินค้าของตัวเอง แต่มองว่าเป๋าตังเป็นห้าง แปลว่าเป๋าตังก็ทำการพิสูจน์และยืนยันตัวตน และข้อมูลของประชาชนแต่ละคนก็ส่งไปให้วอลเล็ตของรัฐ ซึ่งก็เป็นระบบหลังบ้านอีกอันหนึ่งที่ทำการเชื่อมต่อกับเป๋าตัง และเป๋าตังทำหน้าที่เหมือนกับหน้าบ้าน ที่ดูว่าคนที่เข้ามาเป็นใคร ยืนยันข้อมูลชัดเขนแล้ว ส่งข้อมูลให้รัฐ แล้วรัฐก็ให้คนนั้นไปใช้บริการใดๆ ก็ตามที่รัฐจะนำเสนอ นี่ก็เป็นวิธีการที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะใช้วิธีนี้หรือไม่อย่างไร 


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ