ในช่วงครึ่งปีแรกของ 2024 ที่ผ่านมา นับเป็นช่วงเวลาที่ Bitcoin สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีต่อเนื่องจากปี 2023 จนทำ All Time High ใหม่ได้ในช่วงกลางเดือนมีนาคม 2024 ซึ่งเป็นระยะเวลาประมาณ 2 ปีครึ่งในการฟื้นตัวกลับมา นับตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน 2021
โดยการปรับตัวขึ้นของราคา Bitcoin ในปี 2023 ส่วนใหญ่มาจาก Spot Bitcoin ETF ที่ BlackRock ได้ขอยื่นเปิดเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2023 ซึ่งในช่วงแรกยังมีความไม่แน่นอนสูง ราคายัง Sideway อยู่หลายเดือนจนเริ่มมีความคืบหน้าให้เห็นความชัดเจน จากนั้นราคาก็เริ่มปรับตัวขึ้นมาอย่างแข็งแกร่งในช่วงต้นไตรมาส 4/2023 ซึ่งในฝั่งของ Altcoin เองก็ฟื้นตัวขึ้นมาในช่วงเวลาเดียวกัน
และผลลัพธ์ก็เป็นไปตามคาด หลังจาก Spot Bitcoin ETF ได้รับการอนุมัติเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2024 และสามารถซื้อขายได้ทันทีในวันถัดไป หลังจากนั้นก็มีเงินไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถคง Momentum เชิงบวกไว้ได้ นอกจากนี้ยังมีเรื่องของ Bitcoin Halving ที่เป็นปัจจัยเชิงบวกส่งเสริมกันอีก ส่งผลให้ราคา Bitcoin สามารถขึ้นไปทำ All Time High ที่ราคา $73,777 ทำให้ Performance ของ Bitcoin ไตรมาส 1/2024 ค่อนข้างดีมาก
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 2/2024 เริ่มมีการปรับฐาน เนื่องจากปัจจัยบวกเริ่มหมด อีกทั้งยังมีเรื่องของสงครามและความไม่แน่นอนของนโยบายการเงินของสหรัฐฯ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นปัจจัยที่สำคัญต่อตลาดคริปโตฯ ค่อนข้างมาก ถึงแม้ว่าจะมีข่าวเรื่องการอนุมัติ Spot Ethereum ETF ในวันที่ 23 พฤษภาคม 2024 ก็ไม่สามารถทำให้ Momentum ของตลาดกลับมาเป็นเชิงบวกได้มากเท่าที่ควร
Source: Coingecko
ฝั่งของ Altcoin หลังจากการฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 4/2023 ในปีนี้ ก็มีการเติบโตต่อเนื่องในไตรมาส 1/2024 ด้วยเช่นกัน แต่จะมีแค่เพียงไม่กี่ Sector ที่สามารถ Outperform ตลาดได้ ซึ่งกลุ่มที่ทำผลตอบแทนได้ดีมากในช่วงไตรมาส 1/2024 อาทิ กลุ่ม Memecoins, Real World Asset (RWA) และ Artificial Intelligence (AI) โดย Memecoins สามารถทำผลตอบแทนเฉลี่ยในไตรมาส 1 ได้ถึง 1,313%
ตารางแสดงอัตราการเติบโตในแต่ละช่วงเวลาของ Bitcoin, Ethereum และ Altcoin Market Cap
Source : Cryptomind Advisory
สรุปภาพรวมในครึ่งปีแรกของปี 2024 นั้น Cryptomind Advisory มองว่าภาพรวมในช่วงไตรมาส 1/2024 ค่อนข้างสดใสสำหรับตลาดคริปโตฯ แต่ในไตรมาส 2/2024 เริ่มอ่อนแรงลงและปัจจัยส่งเสริมเริ่มหมด นอกจากนี้ท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ ก็ยังสร้างความไม่แน่นอนให้ตลาดด้วย
และยิ่งถ้าถอยออกมามองภาพใหญ่ ตลาดคริปโตฯ โดยรวมก็ฟื้นตัวกลับมามากพอสมควรแล้ว การปรับฐานตรงนี้เพื่อการเติบโตในอนาคตอย่างยั่งยืน หากถ้าพิจารณาตั้งแต่ต้นปี 2023 จนถึงปัจจุบัน Bitcoin, Ethereum และ Altcoin Market Cap สร้างการเติบโตมามากถึง 303%, 200% และ 117% ตามลำดับ
สำหรับภาพรวมในครึ่งปีหลัง 2024 นี้ อย่างที่ทราบกันดีว่าเศรษฐศาสตร์มหาภาค (Macroeconomics) นั้นเป็นส่วนสำคัญที่ส่งผลกับตลาดคริปโตฯ ค่อนข้างมาก ซึ่งเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2024 มีการประชุม Federal Open Market Committee (FOMC) และมีการออก Fed Dot Plot Diagram ที่แสดงถึงมุมมองของคณะกรรมการของธนาคารกลางสหรัฐฯ ว่าจะมีการดำเนินนโยบายทางการเงินอย่างไร
Source: Federal Reserve
สำหรับปี 2024 การคาดการณ์ของสมาชิก FOMC สำหรับอัตราดอกเบี้ยเงินกองทุนกลางอยู่ในช่วงประมาณ 4.9% ถึง 5.6% มีการกระจายตัวของการคาดการณ์อย่างชัดเจนอยู่ที่ประมาณ 5.1% ถึง 5.4% ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีความเห็นเป็นเอกฉันท์ในหมู่สมาชิกว่าควรจะอยู่ในช่วงนี้ สิ่งนี้บ่งชี้ว่า สมาชิกหลายคนเชื่อว่าอัตรานี้ควรจะยังคงอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง เพื่อจัดการกับความกังวลเรื่องเงินเฟ้อต่อไป
จากสัญญาณบวกของตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุดเห็นว่า CPI เริ่มชะลอตัว และ Dot Plot Diagram ที่ออกมาแสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ Fed ส่วนใหญ่มองว่าปีนี้น่าจะมีการลดดอกเบี้ย 1-2 ครั้ง และประเทศอื่นๆ เช่น ยุโรป แคนาดา เริ่มลดดอกเบี้ยแล้ว อาจหมายถึงว่าถึงเวลาที่สหรัฐฯ อาจจะต้องเริ่มลดบ้าง
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเรื่องของเงินเฟ้อและจาก Dot Plot Diagram จะดูเหมือนเป็นข่าวดี แต่จากการให้สัมภาษณ์ของ Jerome Powell (ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ) ดูมีท่าทีแข็งกร้าว (Hawkish) อยู่พอสมควร โดยยังบอกว่า ตัวเลขเงินเฟ้อยังไม่น่าเป็นที่พอใจ และ Dot Plot Diagram อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นในสถานการณ์ปัจจุบันยังอยู่กับความไม่แน่นอนอยู่ค่อนข้างมาก ทำให้ตลาดเริ่มมีความกังวลและมีบางส่วนที่เทขายเพื่อลดความเสี่ยง สวนทางกับฝั่งตลาดหุ้นที่ยังเป็นบวกได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากตัวหลักอย่าง Nvidia, Microsoft, Apple
ทั้งนี้ จากปัจจัยส่งเสริมในตลาดคริปโตฯ ที่ผ่านไปหมดแล้ว รวมถึงความไม่แน่นอนต่างๆ ในนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ และสงคราม Cryptomind Advisory จึงมองว่าในครึ่งปีหลังอาจเป็นช่วงเวลาของการปรับฐานและรอความชัดเจนจากทางธนาคารกลางสหรัฐฯ มากกว่านี้ ส่วนปัจจัยบวกที่ยังหลงเหลืออยู่นั้น มีดังนี้
Cryptomind Advisory มองว่าในตอนนี้หากไม่มีปัจจัยอะไรร้ายแรง Bitcoin มีแนวโน้มจะอยู่ในลักษณะ Sideway ในกรอบใหญ่ๆ โดยมีแนวรับสำคัญอยู่ที่ $60,000 จนกว่าจะเริ่มมีการลดดอกเบี้ย แต่ถ้าหากมีปัจจัยร้ายแรง เช่น สงครามที่รุนแรงและบานปลายมากขึ้น นโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ มีความรุนแรงมากขึ้น ไม่มีการลดดอกเบี้ยอย่างที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ก็อาจจะทำให้ราคาลงต่ำกว่า $60,000 ได้ โดยถ้าหลุดแนวรับดังกล่าวจะมีแนวรับสำคัญถัดไปอยู่ที่แถวๆ $52,000 และ $44,000 ตามลำดับ
ส่วนมุมมองการลงทุนมองว่าควรลด Position ของ Altcoin ตัวเล็กๆ ที่ไม่มี Narrative สนับสนุน เนื่องจากสภาพคล่องในตลาดยังน้อย ซึ่งเมื่อ Bitcoin มีการปรับฐาน Altcoin มักจะร่วงแรง แต่เมื่อ Bitcoin เริ่มฟื้น Altcoin กลับไม่ฟื้นตาม ดังนั้นควรถือ Stablecoin ไว้จำนวนหนึ่ง เผื่อในกรณีที่ตลาดเกิดการเทขายอย่างหนักจะได้มีสภาพคล่องไว้ช้อนซื้อในช่วงเวลาดังกล่าว อย่างไรก็ตาม อาจมีบาง Sector สามารถทำผลตอบแทนขึ้นมานำตลาดได้เช่นเดียวกัน ซึ่งทางเรามองว่าอาจเป็น Ethereum และเหรียญต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Ethereum
Source: @EricBalchunas
นักวิเคราะห์จาก Bloomberg คาดการณ์ว่า Spot Ethereum ETF จะได้รับการอนุมัติและเปิดซื้อขายได้ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม เนื่องจากทาง SEC ได้ส่งฟอร์ม S-1 ให้มาแก้ไข พร้อมทั้งขอให้ส่งกลับภายใน 1 อาทิตย์ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดี โดยหากเปิดซื้อขายแล้วต้องจับตา Inflow ให้ดีๆ เนื่องจากในปัจจุบัน Ethereum มี Market Cap ที่น้อยกว่า Bitcoin ประมาณ 3 เท่า ซึ่งถ้ามีแรงซื้อในระดับเดียวกับ Spot Bitcoin ETF ก็จะสามารถส่งผลกระทบกับราคาได้มากกว่า
นอกจากนี้เหรียญต่างๆ ภายใน Ethereum Ecosystem ก็มีแนวโน้มที่จะได้รับอิทธิพลจากการอนุมัติในครั้งนี้ด้วย โดยตัวอย่าง Sector ที่น่าจับตามอง ได้แก่
และเมื่อคาดการณ์ว่า Spot Ethereum ETF จะได้รับการอนุมัติแล้ว สิ่งนี้ถูกมองว่าเป็นการเปิดโอกาสอีกกว้างมากให้กับตลาดคริปโตเคอร์เรนซี โดยเฉพาะกลุ่ม Layer 1 อื่นๆ และอีกหลายๆ เหรียญเริ่มถูกพูดถึงว่าอาจจะเป็นรายต่อไปที่จะถูกเสนอเข้าเป็น Spot ETF เช่น Solana (SOL) ที่ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2023 มีการเติบโตที่ก้าวกระโดดอย่างมาก และกลายเป็นคู่แข่งที่สำคัญสำหรับ Ethereum หรือแม้แต่เหรียญ Proof of Work ตั้งแต่ยุคแรกอย่าง Litecoin (LTC) หรือ Bitcoin Cash (BCH) ซึ่งถึงแม้ว่าทุกอย่างจะยังเป็นข้อถกเถียงกันในเรื่องของความเหมาะสมในการเสนอเป็น Spot ETF แต่ทั้งหมดนี้อาจจะทำให้กลุ่มเหรียญเหล่านี้ถูกพูดถึงและเป็นที่น่าจับตามองได้