Bitcoin ร่วงหนัก Ethereum ก็ไปด้วย นักลงทุนคิดหนักไปต่อ หรือพอแค่นี้ก่อน กูรูแนะทำ DCA มองระยะยาว ไม่ควร All-in ในครั้งเดียว
เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 65 นายปรมินทร์ อินโสม ผู้ก่อตั้ง Satang กล่าวว่า สาเหตุที่ราคาบิตคอยน์ หรือ BTC ทิ้งดิ่งหนักจนไปแตะที่ราคา 23,839 ดอลลาร์สหรัฐ และอีเธอเรียม หรือ ETH 1,215 ดอลลาร์สหรัฐ (อ้างอิงวันที่ 13 มิ.ย. 65เ วลา 16.51 น.) นั้นปัจจัยหลัก มาจากนักลงทุนส่วนใหญ่ กังวลเรื่องตัวเลขเงินเฟ้อ หรือ CPI ของเดือน พ.ค. ที่สหรัฐฯประกาศออกมาสูงเกินคาดที่ 8.6% ซึ่งสูงสุดในรอบ 40 ปี
โดยสาเหตุหลักมาจากราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้น จากเมื่อ 2 เดือนก่อน อยู่ที่ประมาณ 100-110 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ขึ้นมาอยู่ที่ 105-120 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา รวมถึงราคาอาหารที่เพิ่มสูงขึ้นด้วย จนทำให้นักลงทุนกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (FED) อาจต้องเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์นี้วันพุธที่ 17 มิ.ย. 65 (หรือเช้าวันพฤหัสบดีตามเวลาประเทศไทย) เพื่อสกัดเงินเฟ้อ
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ของ Barclay Bank ซึ่งเป็นสาย extreme สุดด้านคาดการณ์เงินเฟ้อขณะนี้ คาดการณ์ว่า FED อาจขึ้นดอกเบี้ยมากถึง 0.75% ในการประชุมคืนวันพุธนี้ อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์ทั่วไปยังคงมองว่า FED จะยังคงขึ้นที่ 0.5% สิ่งสำคัญที่จะต้องจับตามองคือถ้อยแถลงของ FED ที่มีต่อสถานการณ์เงินเฟ้อที่สูงสุดในรอบ 40 ปีนี้ ว่า FED จะเดินหน้ามาตรการอะไรต่อไปเพื่อสกัดเงินเฟ้อให้ได้
ขณะเดียวกัน อีกปัจจัยหนึ่งที่กระทบราคาคริปโต ก็คือ ความวิตกกังวลของนักลงทุนต่อมาตรการของจีนที่เริ่มกลับมาใช้ข้อบังคับเรื่องการป้องกันไวรัสระบาดอีกครั้ง หลังจากประกาศผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ไปเพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้า ปัจจัยนี้ส่งผลกระทบต่อความต้องการด้านอุปสงค์ หรือ Demand-side
ส่วนเหตุผลทางด้าน Technical Chart นั้นในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมาเราได้เห็นแล้วว่า ราคา ETH อยู่แถว 1,800-2,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะลงมาทดสอบ ที่ 1,200-1,400 ดอลลาร์สหรัฐ ได้ไม่ยากในเวลาอันใกล้ และ BTC เองก็อาจจะลงไปสู่ระดับ 19,000-21,000 ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงเวลาอันใกล้นี้
"เรามองว่าเงินเฟ้อก็ยังคงสูงขึ้นไม่เปลี่ยนไปในช่วง 1-3 เดือนนี้แน่นอน ดังนั้น FED ก็ยังต้องสู้เงินเฟ้ออย่างก้าวร้าวต่อไป ด้วยเหตุนี้ตลาดขาลงของ crypto ก็คงยังไม่จบจริงในเวลา 1-2 เดือนนี้แน่นอน และถึงแม้ว่าจะเป็นขาลง ตลาดก็ไม่ได้วิ่งลงเป็นเส้นตรงดิ่งลงตลอดเวลา บางทีก็เป็นลักษณะวิ่งลงแบบซิกแซ็ก ดังนั้น ไม่ควร All-in ในครั้งเดียว ต้องจัดการเรื่อง allocation risk หรือการจัดการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตให้เหมาะสมด้วย"
อย่างไรก็ตาม หากถามว่าตลาดตอนนี้น่าลงทุนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าเป็นนักเทรดประเภทใด ถ้าเป็นสายทำกำไรก็อาจทำได้แต่ต้องระมัดระวังเรื่องการลงแบบซิกแซ็กขึ้น ๆ ลง ๆ ส่วนถ้าเป็นกลุ่มลงทุนระยะกลาง 1-3 เดือน การลงทุนใน Stablecoin ที่มีสินทรัพย์หนุนหลังก็ยังพอให้ผลตอบแทนได้ในท่ามกลางสภาวะเงินดอลลาร์แข็งค่าขณะนี้ หากเป็นกลุ่มลงทุนระยะยาวหรือ DCA ก็สามารถที่จะซื้อเก็บได้ทุก ๆ 2 - 3 เดือน ไม่ถึงกับต้องนั่งเฝ้าซื้อเก็บทุกสัปดาห์
ทางด้านนายสรัล ศิริพันโนน ซีอีโอ Satang Corporation ให้ความเห็นว่า ขาลงของทั้ง BTCและ ETH ยังไม่จบเพราะทั้ง มุมมองของ FED ขณะนี้ และ Technical Chart ยังไปช่วยหนุนขาลงอยู่ สิ่งที่พอจะช่วยนักลงทุนในการวิเคราะห์สถานการณ์ขณะนี้ได้ก็คือ
1. อ่านใจและวิธีคิดของ FED ให้ออก ผ่านมุมมองการวิเคราะห์ที่เราหาได้ไม่ยากใน internet แต่ จงถามตัวเองเสมอด้วยว่า บทวิเคราะห์ที่อ่านนั้นมองข้ามอะไรไปบ้าง ณ ตอนนี้ FED คงสนใจว่า เงินเฟ้อจะเป็นอย่างไรผ่าน CPI index หรือ ดัชนีราคาของผู้บริโภค และราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้น
2. อ่านกราฟให้ออก ไม่ใช่แค่มอง technical chart ของ crypto เท่านั้นแต่ต้องมองไปที่ กราฟราคาน้ำมัน ว่าจะไปอย่างไรด้วย เพราะถ้าตอนนี้ยังอยู่แถว 117-120 ดอลลาร์สหรัฐ ยังคงมี trend ขาขึ้นซึ่งสามารถวิ่งไปถึง 130-150 ดอลลาร์สหรัฐได้ไม่ยาก