คณะมนตรียุโรปประกาศยอมรับกฎหมาย และข้อบังคับเพื่อบรรลุเป้าหมายด้านสภาพอากาศของสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งรวมไปถึงกฎในการลดการใช้พลังงานทั่วทั้ง EU ภายในปี 2030 และกฎที่กำหนดให้ติดตั้งสถานีชาร์จแบตและเติมเชื้อเพลิงสำหรับเชื้อเพลิงทางเลือกทั่วทั้งยุโรป รวมถึงลดการปล่อยมลพิษในภาคการขนส่งทางทะเล
การประกาศนี้ถือเป็นขั้นตอนสำคัญลำดับสุดท้ายตามโรดแม็ป “Fit for 55” เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ EU ลง 55% ให้สำเร็จภายในปี 2030 เทียบกับปริมาณการปล่อยในปี 1990 ซึ่งกฎหมายแต่ละฉบับจะอยู่ใน Official Journal ของ EU และมีผลบังคับใช้ภายหลัง
โดยมีคำสั่งด้านประสิทธิภาพพลังงาน หรือ Energy Efficiency Directive (EED) ที่มีเป้าหมายเพื่อลดการใช้พลังงานขั้นสุดท้าย (Final Energy) ลง 11.7% ในปี 2030 เทียบกับการคาดการณ์เมื่อปี 2020 ตลอดจนข้อกำหนดสำหรับภาครัฐเพื่อบรรลุการลดใช้พลังงานต่อปีลงให้ได้ 1.9%
และมีกฎระเบียบโครงสร้างพื้นฐานเชื้อเพลิงทางเลือก หรือ AFIR ที่มุ่งเป้าในการเปลี่ยนผ่านไปสู่การขนส่งที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ และจัดการกับข้อกังวลด้านพลังงานของผู้บริโภคอันเป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนไปใช้ยานพาหนะที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ ทั้งกำหนดให้เพิ่มสถานีชาร์จรถ EV และสถานีเชื้อเพลิงไฮโดรเจน สำหรับเครือข่ายขนส่งทั่วยุโรป
นอกจากนี้ยังมี Fuel EU Maritime ซึ่งเป็นกฎหมายที่เน้นไปที่การขนส่งทางทะเล เพื่อเพิ่มความต้องการและการใช้เชื้อเพลิงหมุนเวียนและเชื้อเพลิงคาร์บอนต่ำสำหรับการขนส่งทางน้ำ และผลักดันเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเริ่มจากการลดการปล่อยมลพิษที่ใช้ในการเดินเรือลง 2% ในปี 2025 และแตะ 80% ภายในปี 2050
ขณะเดียวกันภายใต้โรดแม็ป “Fit for 55” ของ EU ก็ยังมีมาตรการลดการปล่อยมลพิษอีกหลายด้าน ตั้งแต่ทยอยลดปริมาณการปล่อยมลพิษทางอากาศจากการบิน กำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยมลพิษที่เข้มงวดขึ้น และเพิ่มเป้าหมายให้พลังงานร้อยละ 40 ควรผลิตจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน ภายในปี 2030 ไปจนถึงกำหนดมาตรฐานการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สำหรับรถยนต์และรถตู้ที่เข้มงวดขึ้นเป็นต้น
อ้างอิง