ทั้งนี้เราสรุปแนวคิด7 องค์กรภาคธุรกิจ ร่วมส่งต่อมุมมอง วิสัยทัศน์ ด้าน ESG สู่ภาคธุรกิจและสังคม เผยต้องให้ความสำคัญกับคน สิ่งแวดล้อม และองค์กรเป็นหลัก ในงาน “CMMU Sustainability Fest 2023” ที่จัดโดยวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU)
แนวทางการจัดงานการของไทยเบฟสามารถประยุกต์ใช้ ESG ในองค์กรได้ทั้ง 3 ระดับ คือ 1.นำ ESG เข้ามาใช้ในองค์กรไม่ว่าจะเป็นการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสังคม และขบวนการกำกับดูแลภายในองค์กร
โดยที่ ESG มีเกณฑ์และรูปแบบการทำงานในของตัวเองในแต่ละด้านกว่า 15 ด้าน และเมื่อเราดูแลองค์กรได้ดีแล้ว จะต้องคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยแบ่งออกเป็น 8 กลุ่ม อาทิ พนักงาน ผู้บริหาร เพื่อที่จะนำความรู้ และวิธีการจัดการด้าน ESG เข้าไปใช้
ทั้งนี้เมื่อมีการดูแลตัวองค์กรได้ดีแล้ว การบริหารจัดการที่จะต้องขยายผลต่อคือกลุ่มคู่ค้า ไม่ว่าจะเป็นซัพพลายเออร์ หรือลูกค้า ฉะนั้นด้าน ESG เริ่มต้นจากเม็ดเล็กๆ ในองค์กรก็ขยายไป ซึ่งส่วนที่ขยายออกไปคือการ Collaboration หรือ Partnership นั่นเอง
และอีกส่วนที่สำคัญไม่แพ้กันคือ Community & Country เน้นในระดับของชุมชนภาพใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะนำเรื่องของความยั่งยืนเข้าไปใช้ทั้งสามกลุ่ม ดังนั้นจะเห็นได้ว่าในเรื่องของ ESG ทำโดยคนเดียวไม่ได้ รวมทั้งต้องใช้ระยะเวลานาน และต้องมีการตั้ง Goal ในระดับประเทศและระดับโลก แน่นอนว่าองค์กรแต่ละองค์กรมีเป้าหมายที่แตกต่างกันออกไป อาทิ การลดก๊าซเรือนกระจก การลดใช้น้ำ การบริหารจัดการคาร์บอนไดออกไซด์ จึงถือได้ว่า ESG เป็นเรื่องที่สำคัญมากดังนั้นจึงต้องเริ่มต้นที่องค์กรเป็นสิ่งแรกจากนั้นจะขยายผลสู่ชุมชน และประเทศในลำดับต่อไป
บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับ ESG และความยั่งยืนเป็นอย่างยิ่ง โดยเป้าหมาย RE100 ของเดลต้า คือการผลิตพลังไฟฟ้าทดแทน 100% ผ่านการดำเนินงานทั่วโลกทั้งหมดของเราภายในปี 2573 ความสำเร็จอันต่อเนื่องของเดลต้าเป็นไปได้ด้วยการสนับสนุนของทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้อง รวมถึงประชาชนทุกคนผู้เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวแห่งการเติบโตนี้
โดยมุ่งมั่นด้านนวัตกรรมการประหยัดพลังงาน เพื่อขับเคลื่อนโซลูชันอัจฉริยะและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก ธุรกิจของเดลต้าก้าวเข้าสู่เมกะเทรนด์โลก เช่น ระบบนิเวศรถยนต์ไฟฟ้า และพลังงานทดแทนอีกด้วย
เราเชื่อว่าในเรื่องของการจัดการเรื่องของการพัฒนายั่งยืน เป็นการดูแลในเรื่องของการบริหาร และลดความเสี่ยง ในขณะเดียวกันมีช่อง และเป็นโอกาสที่เราจะสามารถหาโอกาสใหม่ๆ ให้กับธุรกิจได้ ธนาคารมีบทบาทสองเรื่องคือ
1.การที่เราเป็นสถาบันการเงินที่ให้สนับสนุนทางการเงินให้กับลูกค้า เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจในวงกว้าง แต่ในปัจจุบันเราต้องเป็นพลเมืองที่ดีของสังคมด้วย ฉะนั้นในการที่เรามีแผนดำเนินการตรงนี้ จึงเป็นอีกหนึ่งบทบาทที่จะต้องดูแลทั้งลูกค้าและสังคม ทั้งหมดนี้จึงเป็นที่มาว่าเราให้ความสำคัญกับการประกาศเป็นธนาคารแห่งความยั่งยืน มีการประยุกต์ใช้ ESG ในธุรกิจ ผ่านการดำเนินการ ตั้งตัวชี้วัด และวัดผล พร้อมทั้งเปิดเผยข้อมูลให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยที่ระหว่างทางจะต้องมีการประเมินเพื่อให้เห็น Gap และนำมาพัฒนาปรับปรุงในองค์กร
ส่วนเรื่องที่ธนาคารกสิกรไทยได้ดำเนินมานั้น ไม่ว่าจะเป็น ปีที่ผ่านมาได้ประกาศจุดยืนที่มุ่งมั่นจะเป็นผู้นำในเรื่องของ ESG ในกลุ่มของธนาคารในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โดยหลักๆ นโยบายจะครอบคลุมใน 3 มิติ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ ESG ที่มีทั้งหมด 12 นโยบาย อาทิ Environment ผ่านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์จากการดำเนินงานของธนาคารภายในปี 2573 โดยธนาคารได้เดินหน้าสร้างการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรอย่างต่อเนื่อง อาทิ การใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ การใช้รถยนต์ไฟฟ้า
การใช้น้ำมันที่มีส่วนผสมของน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ การวางแผนปรับเปลี่ยนวัสดุในการทำงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การปรับกระบวนการทำงานและการให้บริการของธนาคารไปสู่ดิจิทัลเพิ่มมากขึ้นเพื่อให้การปล่อยคาร์บอนลดลงให้ได้มากที่สุด ควบคู่กับการส่งเสริมบุคลากรและทุกภาคส่วนให้มีความรู้ ความเข้าใจ เกิดพฤติกรรมที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมบนหลักปฏิบัติที่ถูกต้องและยั่งยืน แต่อีกมุมหนึ่งที่เป็นพอร์ตโฟลิโอสินเชื่อของธนาคารจะต้องเป็นไปตามความตั้งใจของประเทศด้วย
รวมทั้งในระหว่างทางธนาคารกสิกรไทยยังได้ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนสินเชื่อและการลงทุนเพื่อความยั่งยืน ในปีที่ผ่านมา กสิกรไทยได้ให้สินเชื่อและการลงทุนไปแล้วกว่า 16,000 ล้านบาท และเตรียมจัดสรรเงินทุนด้านความยั่งยืนรองรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียวอย่างต่อเนื่องรวม 100,000-200,000 ล้านบาท ภายในปี 2573 เพื่อที่จะผลักดันในการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ Net Zero ไปด้วยกัน
ทั้งนี้ในมิติของสังคมในฐานะภาคการเงิน ก็ได้ให้ความสำคัญในการให้บริการทางการเงินที่เข้าถึงแก่น และความรู้ทางการเงิน และภัยไซเบอร์ รวมทั้งการดูแลความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้า นอกจากนี้ยังดูแลในเรื่องของพนักงาน และสิทธิมนุษยชน รวมถึงความแตกต่างที่หลากหลาย ตลอดจนการให้ประโยชน์กับสาธารณะ สุดท้ายกับภาครัฐธนาคารยังให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลกิจการที่ดีด้วยเช่นกัน
ไม่ว่าวิกฤติอะไรจะเกิดขึ้น ความยั่งยืนไม่ว่าจะเป็น ESG, SDGs, BCG จะช่วยให้องค์กรธุรกิจสามารถก้าวข้ามวิกฤติและนำไปสู่ความยั่งยืนได้
โดยเอสซีจี ประกาศเดินหน้าธุรกิจควบคู่กู้วิกฤติโลกร้อน ทรัพยากรขาดแคลน และลดความเหลื่อมล้ำ ชูธง ESG 4 Plus “มุ่ง Net Zero-Go Green-Lean เหลื่อมล้ำ-ย้ำร่วมมือ”
แนวทางที่ 1 มุ่ง Net Zero เอสซีจีมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2050 (Net Zero) โดยเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานคาร์บอนต่ำอย่างพลังงานชีวมวล (Biomass) จากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรและเชื้อเพลิงจากขยะ (RDF) ในกระบวนการผลิตปูนซีเมนต์ การใช้ลมร้อนเหลือทิ้งจากกระบวนการผลิต ฯลฯ
แนวทางที่ 2 Go Green มุ่งพัฒนานวัตกรรมเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และลดการใช้ทรัพยากรตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนไปด้วยกัน โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ฉลาก SCG Green Choice เป็น 2 เท่าจากร้อยละ 32 เป็นร้อยละ 67 ภายในปี 2030
แนวทางที่ 3 Lean เหลื่อมล้ำ เอสซีจีมุ่งลดความเหลื่อมล้ำในสังคมด้วยการพัฒนาทักษะอาชีพที่ตลาดต้องการให้แก่ชุมชนรอบโรงงาน และ SMEs 20,000 คน ภายในปี 2025
แนวทางที่ 4 ย้ำร่วมมือ เอสซีจี มุ่งสร้างความร่วมมือขับเคลื่อน ESG กับหน่วยงานระดับประเทศ อาเซียน และระดับโลก
ส่วน Plus เป็นธรรม โปร่งใส ขับเคลื่อนองค์กรตามแนวทาง ESG 4 Plus ภายใต้การกำกับดูแลกิจการที่ดี (Governance) อย่างต่อเนื่อง ดำเนินทุกกิจกรรมอย่างเป็นธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้ และยังเน้นการปลูกฝังไปยังพนักงาน ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นจนเป็นวัฒนธรรมองค์กร ซึ่งปัจจุบันลดใช้พลังงานฟอสซิลลง 40%
PTTGC ด้วยวิสัยทัศน์มุ่งมั่นที่จะเป็น leader Global Chemical For Better Living และด้วยกลยุทธ์ที่ชัดเจนทำให้ PTTGC ภายในปี 2573 จะเป็นองค์กร Together To Net Zero
รวมทั้งมุ่งมั่นที่จะขยายงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ ถือเป็นความท้าทายของการทำงานเพื่อที่จะตอบโจทย์ผู้บริโภค สังคม และสิ่งแวดล้อม แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีความท้าทายเข้ามามากน้อยแค่ไหน แต่ในเรื่อง ESG เรามุ่งมั่นให้ความใส่ใจในส่วนของ Supply Chain มีพาร์ตเนอร์ ทำให้แบรนด์มีความชัดเจน จึงนับเป็นการปรับกระบวนท่าเพื่อให้ก้าวข้ามผ่านความท้าทายให้ได้ เพื่อให้ได้ซึ่ง ESG แม้ว่าเส้นทางอาจไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบแต่มีแสงสว่างที่ปลายทางชัดเจน
เซ็นทรัลพัฒนามีความเกี่ยวข้องกับชีวิตของผู้คนในทุกๆ วันมีคนอยู่ในพื้นที่ของมากกว่า 1 ล้านคน จึงทำให้ตระหนักถึงความสำคัญของบทบาทของในการที่จะขับเคลื่อนเรื่องความยั่งยืน และทำให้ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียพัฒนาด้านต่างๆ ควบคู่ไปกับการทำงานและธุรกิจ
โดยความยั่งยืนของเซ็นทรัลพัฒนามุ่งมั่นสร้างคุณค่าร่วมใน 3 ประเด็น ได้แก่
1.การสร้างพื้นที่ให้เป็นพื้นที่สาธารณะที่มีความเป็นอยู่ที่ดีให้กับผู้คน เป็นพื้นที่สร้างการเรียนรู้ ส่งเสริมให้สังคมไทยเกิดการเรียนรู้ตลอดเวลา ตลอดจนเป็นพื้นที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิต แม้ในยามวิกฤติที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 ใช้พื้นที่เป็นจุดฉีดวัคซีน
2.ส่งเสริมให้เกิดความภาคภูมิใจและความเจริญรุ่งเรืองในท้องถิ่น ทุกครั้งที่เราไปทำธุรกิจในพื้นที่ต่างๆ โดยเป็นคนสำคัญที่จะไปผลักดัน พัฒนาการเติบโตทางเศรษฐกิจของชุมชน ให้โอกาสกับผู้ค้าและเกษตรได้มีโอกาสเข้ามาค้าขายในพื้นที่ แต่ยังคงอนุรักษ์ความภาคภูมิใจ วัฒนธรรม เอกลักษณ์ของท้องถิ่นเอาไว้ด้วย พัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีควบคู่กับความภาคภูมิใจในชุมชนและท้องถิ่น
3.สิ่งแวดล้อม ได้ทำงานภายใต้ความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ใช้พลังงานทดแทน และส่งเสริมให้คู่ค้าดำเนินการด้านอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไปควบคู่กัน เพื่อสร้างความตระหนักให้ทุกคนในสังคมรู้ว่าการดำเนินชีวิตแบบเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ทุกคนสามารถร่วมมือขับเคลื่อนได้ มุ่งไปสู่การสร้าง Net Zero
ทางบริษัทมีความเชื่อว่า ESG ไม่ใช่แค่การประชาสัมพันธ์ แต่เราตั้งใจสร้างการเปลี่ยนแปลงจริงๆ เพื่อสิ่งแวดล้อมและประชาคมโลก เนื่องด้วยเราเป็นบริษัททางด้านการลงทุน เราจึงบูรณาการ ESG ในกระบวนการการลงทุน ตั้งแต่ก่อนและหลังการลงทุน มีการดูเรื่อง ESG ในช่วงก่อนเข้าไปลงทุน และเมื่อหลังลงทุนก็มีการประเมินบริษัทที่เราเข้าไปลงทุนด้วย เพื่อให้แน่ใจว่ามีการส่งเสริมด้านสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง โดยหวังว่ากระบวนการต่างๆ จะทำให้เข้มงวดขึ้น เพื่อประโยชน์ของทุกคน..