Thairath OnlineThairath PlusThairath SportThairath TVMIRROR

ย้อนเส้นทาง “Bill Gates” รวยขนาดนี้ได้อย่างไร เจ้าพ่อโปรแกรมเมอร์ สู่มหาเศรษฐีอัจฉริยะ

Date Time: 16 มี.ค. 2568 10:28 น.

Summary

  • ย้อนเส้นทาง “Bill Gates” มหาเศรษฐีระดับโลก ผู้ร่วมก่อตั้ง Microsoft ที่เคยครองตำแหน่งคนที่รวยที่สุดในโลกมายาวนานกว่า 18 ปี กับวิธีคิด แนวทางการสร้างตัวเองแบบอัจฉริยะโปรแกรมเมอร์ ที่แม้ว่าปัจจุบันจะก้าวลงจากตำแหน่งซีอีโอของ Microsoft แล้ว ก็ยังสามารถรักษาตำแหน่งติดอันดับบุคคลที่รวยที่สุดลำดับต้น ๆ ของโลกไว้ได้

หนึ่งในผู้บุกเบิกและบุคคลสำคัญที่เปลี่ยนแปลงโลกเทคโนโลยี เชื่อว่าทุกคนคงต้องนึกถึง “Bill Gates” มหาเศรษฐีระดับโลก ผู้ร่วมก่อตั้ง Microsoft บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่มีอิทธิพลในระดับโลก และ Bill Gates ยังเคยเป็นชายที่ครองตำแหน่งคนที่รวยที่สุดในโลกมายาวนานกว่า 18 ปีอีกด้วย

ปัจจุบัน จากข้อมูลของ Forbes ชี้ว่า แม้ Bill Gates จะไม่ได้เป็นเบอร์หนึ่งของโลกแล้ว แต่ความมั่งคั่งของเขายังคงอยู่ที่กว่า 105,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังคงครองลำดับที่ 11 ของมหาเศรษฐี

ในอดีต ความมั่งคั่งส่วนใหญ่ของเขามาจากความสำเร็จของ Microsoft แต่หลังจากก้าวลงจากตำแหน่งซีอีโอเมื่อปี 2020 ทาง Bill Gates ก็ได้กระจายความมั่งคั่งของเขาออกจาก Microsoft ไปสู่การลงทุนและธุรกิจหลากหลายประเภท ทั้งด้านอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนบริษัทกำจัดขยะ ไปจนถึงผู้ผลิตรถแทรกเตอร์

เส้นทางความร่ำรวยของ Bill Gates เริ่มต้นมาอย่างน่าประทับใจ และกำลังดำเนินไปอย่างน่าสนใจเช่นกัน ในบทความนี้ Thairath Money คอลัมน์ How to Make Money ก็จะพาผู้อ่านไปทำความรู้จัก ทำความเข้าใจเส้นทางความสำเร็จของชายคนนี้

จุดเริ่มต้นของเด็กเนิร์ดสุดอัจฉริยะ

“William Henry Gates III” หรือที่คนทั่วโลกรู้จักกันในชื่อ “Bill Gates” เกิดเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ปี 1955 ที่เมืองซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน มาของชื่อคือการตั้งตามคุณพ่อ William H. Gates II ซึ่งประกอบอาชีพเป็นทนายความ ส่วนคุณแม่ Mary Maxwell Gates คือบุคคลสำคัญที่ช่วยผลักดันให้ Bill Gates ให้ความสำคัญกับด้านการกุศลและโลกธุรกิจ

Bill Gates เติบโตมาในครอบครัวที่ค่อนข้างจะร่ำรวย ร่วมกับพี่สาวและน้องสาว ทั้งสามคนได้รับการปลูกฝังให้มีความมุ่งมั่นและปลุกปั้นให้สนใจในการแข่งขันอย่างสร้างสรรค์ตั้งแต่เด็ก ซึ่งเห็นได้ชัดจากนิสัยของ Bill Gates ที่ชอบจัดกิจกรรมแข่งขันกีฬาภายในครอบครัวระหว่างช่วงฤดูร้อนที่บ้านพักริมอ่าว Puget Sound นอกจากนี้เขายังชื่นชอบการเล่นเกมกระดานอย่าง Risk และ Monopoly ซึ่งเขามักเป็นผู้ชนะอยู่บ่อยครั้ง

นอกจากนี้ Bill Gates ยังเป็นเด็กที่รักการอ่านเป็นพิเศษ โดยมักจะใช้เวลาหลายชั่วโมงจมอยู่กับหนังสือสารานุกรมหรือหนังสือความรู้ทั่วไป แต่พอเขาอายุประมาณ 11 หรือ 12 ปี พ่อแม่เริ่มกังวลเกี่ยวกับพฤติกรรมของเขา แม้ว่าเขาจะเรียนดี แต่กลับแสดงท่าทีเบื่อหน่ายและเริ่มเก็บตัวมากขึ้น พ่อแม่จึงตัดสินใจส่งไปเข้าเรียนใน Lakeside School โรงเรียนเอกชนชั้นนำของซีแอตเทิล ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของเขา

คู่หูสายโปรแกรมเมอร์

ต้องเรียกได้ว่าเป็นการเติบโตมาแบบ Right Place, Right Time เพราะในช่วงที่ Bill Gates กำลังศึกษาอยู่ที่ Lakeside School บริษัทคอมพิวเตอร์ท้องถิ่นแห่งหนึ่งได้มอบโอกาสให้กับนักเรียนของที่นี่ โดยได้ระดมเงินทุนจำนวนหนึ่งมาจัดซื้อเทเลไทป์เทอร์มินัล (Teletype Terminal) เพื่อให้นักเรียนได้ใช้เรียนรู้และใช้เวลาบนเครื่องคอมพิวเตอร์

และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ Bill Gates เริ่มหลงใหลในโลกของคอมพิวเตอร์ โดยจะใช้เวลาว่างเกือบทั้งหมดไปกับการนั่งทำงานหน้าจอเทอร์มินัลและเขียนโปรแกรม อย่างเช่น เกม “O-X” หรือ “Tic-Tac-Toe” ด้วยภาษา BASIC ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ให้ผู้ใช้สามารถเล่นแข่งกับคอมพิวเตอร์ได้

นอกจากนี้ ในรั้วโรงเรียนนี้เอง Bill Gates ยังได้พบกับ Paul Allen รุ่นพี่ที่อายุมากกว่า 2 ปี ทั้งคู่สนิทกันอย่างรวดเร็ว เพราะมีความหลงใหลในคอมพิวเตอร์เหมือนกัน จึงมักใช้เวลาว่างร่วมกันเพื่อเขียนโปรแกรมต่าง ๆ

ในปี 1970 ขณะที่ Bill Gates มีอายุเพียง 15 ปี เขาและ Paul Allen ก็เริ่มต้นธุรกิจเล็ก ๆ ร่วมกันพัฒนาโปรแกรมชื่อว่า “Traf-o-Data” ใช้วิเคราะห์ข้อมูลการจราจรในเมืองซีแอตเทิล และสามารถทำเงินได้ถึง 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ และความสำเร็จเล็ก ๆ ครั้งนั้นทำให้ทั้งสองคนเริ่มจริงจังกับการอยากเปิดบริษัทของตัวเอง

ต่อมาในปี 1973 เป็นปีที่ Bill Gates จบการศึกษาจาก Lakeside และเข้าเรียนต่อที่ Harvard University แม้ในตอนแรกเขาจะตั้งใจเรียนกฎหมาย แต่ความสนใจของเขากลับพุ่งไปที่ห้องแลปคอมพิวเตอร์มากกว่าห้องเรียน ซึ่งเขาแทบไม่มีตารางการอ่านหนังสือแบบจริงจัง และมักนอนน้อย ยัดความรู้ก่อนสอบ แต่ก็ยังสามารถผ่านวิชาได้อย่างน่าพอใจ

จนในเดือนธันวาคม ปี 1974 ในช่วงที่ Altair 8800 คอมพิวเตอร์ขนาดเล็กจากบริษัท MITS (Micro Instrumentation and Telemetry Systems) ได้เข้ามามีบทบาทในวงการคอมพิวเตอร์ ส่งผลให้ทั้ง Bill Gates และ Paul Allen ตื่นเต้นกับความเป็นไปได้ของเทคโนโลยีนี้มาก และมองเห็นว่านี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของยุคคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรือ PC นั่นเอง

กำเนิด Microsoft

หลังจากประสบความสำเร็จในการทดลองเขียนโปรแกรมต่าง ๆ ออกมา Bill Gates ก็ได้ตัดสินใจลาออกจาก Harvard หลังเข้าเรียนได้เพียง 2 ปี และในเดือนกรกฎาคม 1975 ทั้ง Bill Gates และ Paul Allen ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัทชื่อว่า “Micro-soft” ซึ่งมาจากการผสมคำระหว่าง “Micro-computer” และ “Software” ก่อนจะตัดเครื่องหมายขีดกลาง (-) ออกภายในเวลาไม่ถึงปีต่อมา โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์แรกของบริษัทก็คือ ซอฟต์แวร์ภาษา BASIC สำหรับใช้งานบนคอมพิวเตอร์ Altair

ในช่วงแรก ซอฟต์แวร์ BASIC ของ Microsoft ทำเงินได้จาก “ค่าธรรมเนียมและค่าลิขสิทธิ์” แต่รายได้ก็ยังไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน โดยได้รับความนิยมในกลุ่มนักเล่นคอมพิวเตอร์สมัครเล่น (Computer Hobbyists) แต่มีเพียง 10% ของผู้ใช้งานเท่านั้นที่จ่ายเงินซื้อซอฟต์แวร์ ส่วนอีก 90% ได้ซอฟต์แวร์ไปฟรี ๆ จากการคัดลอกและแจกจ่ายต่อ ซึ่งในยุคนั้นนักคอมพิวเตอร์จำนวนมากไม่ได้สนใจเรื่องผลกำไร แต่เชื่อว่าการแบ่งปันซอฟต์แวร์คือวิถีของคนในวงการ เพราะการคัดลอกและแจกจ่ายทำได้ง่าย จึงเห็นว่าไม่ใช่เรื่องเสียหาย

แต่ Bill Gates กลับคิดต่าง เขามองว่าการแจกจ่ายซอฟต์แวร์โดยไม่จ่ายเงินคือการขโมย โดยเฉพาะเมื่อซอฟต์แวร์นั้นถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อขาย ไม่ใช่เพื่อให้ใช้ฟรี และต่อมาก็มีการเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงกลุ่มนักคอมพิวเตอร์สมัครเล่น โดยเตือนว่าการใช้ซอฟต์แวร์โดยไม่จ่ายเงิน จะทำให้ “ไม่มีใครอยากพัฒนาซอฟต์แวร์คุณภาพอีกต่อไป” เพราะนักพัฒนาจะไม่สามารถลงทุนเวลาและเงินทุนได้หากไม่มีผลตอบแทน และนั่นก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนของวงการโปรแกรมเมอร์เช่นกัน

ในช่วงแรก ๆ ของการเปิดบริษัทด้วยตัวเองนั้น ทางพนักงานของ Microsoft ทุกคนต้องรับผิดชอบงานหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การขาย การตลาด และการบริหาร ซึ่งรวมถึง Bill Gates ที่ในวัยเพียง 23 ปีก็รับบทบาทเป็นผู้นำของบริษัทอย่างเต็มตัว

Bill Gates ไม่เพียงแค่บริหารบริษัทเท่านั้น แต่ยังตรวจสอบโค้ดทุกบรรทัดก่อนส่งออก และในหลายครั้งก็เขียนโค้ดเองใหม่หากไม่พอใจผลงานของทีม จนในปลายปีเดียวกันนั้น Microsoft ก็เริ่มเดินหน้าด้วยความมั่นคง รายได้ของบริษัทพุ่งแตะ 2.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และจำนวนพนักงานเพิ่มขึ้นเป็น 28 คน ภายในเวลาไม่ถึงปี

จุดเปลี่ยนขึ้นแท่นเศรษฐีที่รวยที่สุดของโลก

เมื่ออุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์เริ่มเติบโต โดยมีบริษัทใหญ่อย่าง Apple, Intel และ IBM พัฒนาอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์กันอย่างต่อเนื่อง Bill Gates ก็เร่งเดินสายโปรโมตซอฟต์แวร์ของ Microsoft อย่างจริงจัง จนในเดือนพฤศจิกายน ปี 1980 ทาง IBM ที่กำลังมองหาซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการสำหรับ PC รุ่นใหม่ จึงเข้ามาพูดคุยกับ Microsoft (มีเกร็ดเล่าว่า มีคนใน IBM เข้าใจผิดว่า Gates เป็นเด็กชงกาแฟ เพราะหน้าตายังดูเด็กมาก)

และแม้ว่า Microsoft ในตอนนั้นจะยังไม่มีซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการ แต่ Bill Gates ก็เสนอว่าบริษัทสามารถทำให้ได้ โดยที่เขาไปซื้อระบบปฏิบัติการที่มีอยู่แล้วจากบริษัทอื่น และทำข้อตกลงให้ Microsoft เป็นผู้จัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียว และก็มาดีลกับ IBM ต่อ (แม้ต่อมา Microsoft ก็ถูกฟ้อง แต่ก็มีการยอมความกันในท้ายที่สุด)

Bill Gates ได้มีการปรับระบบปฏิบัติการที่ซื้อมาให้เหมาะกับเครื่อง PC ของ IBM และขายให้ IBM ในราคา 50,000 ดอลลาร์ (เท่ากับต้นทุนที่ซื้อมา) แต่เมื่อ IBM ขอซื้อโค้ดต้นฉบับ Bill Gates ก็ปฏิเสธ และเสนอให้ IBM จ่ายค่าลิขสิทธิ์เป็นรายเครื่องแทน

ซึ่งนี่คือกุญแจสำคัญที่ทำให้ Microsoft รวยมหาศาล เพราะ Microsoft ยังคงถือสิทธิในการให้บริษัทคอมพิวเตอร์รายอื่นใช้ “MS-DOS” ได้ด้วย ซึ่งไม่นานนักบริษัทต่าง ๆ ก็เริ่มผลิตคอมพิวเตอร์แบบ “IBM Compatible” ออกสู่ตลาด ทำให้ MS-DOS กลายเป็นระบบปฏิบัติการมาตรฐานของโลก

จนเมื่อวันที่ 13 มีนาคม ปี 1986 ที่ Microsoft ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น Nasdaq ด้วยราคาเสนอขายหุ้นครั้งแรก (IPO) ซึ่งการก้าวเข้าสู่ตลาดทุนครั้งนี้ทำให้ Bill Gates ซึ่งขณะนั้นมีอายุเพียง 30 ปี กลายเป็นเศรษฐีทันทีจากมูลค่าหุ้นที่เขาถืออยู่

แนวคิดการลงทุนแบบ Bill Gates

แม้ Microsoft จะเริ่มประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง แต่ Gates กลับไม่เคยรู้สึกปลอดภัยหรือผ่อนคลายกับการแข่งขันในตลาด เขายังคงคอยมองหลังอยู่เสมอว่าคู่แข่งกำลังทำอะไรอยู่ และด้วยความเฉียบแหลม มีมุมมองที่ลึกซึ้ง

และหลังจากก้าวลงจากตำแหน่งซีอีโอของ Microsoft ในปี 2020 ทาง Bill Gates ยังคงถือหุ้นบางส่วนของ Microsoft อยู่ และได้เดินหน้าลงทุนต่อในด้านอื่น ๆ โดย Gates มีแนวคิดในการต่อยอดเงินหลายอย่างที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น:

  • ออมแบบมองโลกในแง่ร้าย: แนวคิดการออมแบบคนมองโลกในแง่ร้ายของ Bill Gates ถูกสะท้อนอย่างชัดเจนผ่านแนวทางที่เขานำมาใช้ในช่วงเริ่มต้นของ Microsoft โดยเขายืนยันมาตลอดว่าบริษัทควรมีเงินสดสำรองในบัญชีมากพอที่จะดำเนินกิจการได้อย่างน้อย 12 เดือน แม้ว่ารายได้จะลดลงเหลือศูนย์ก็ตาม

    ซึ่งกลยุทธ์ที่ออกจะอนุรักษ์นิยมนี้ กลายเป็นเกราะป้องกันสำคัญที่ช่วยให้ Microsoft รอดพ้นจากวิกฤตต่างๆ ได้ และยังกลายเป็นรากฐานที่มั่นคงสำหรับการเติบโตในระยะยาว

  • ลงทุนแบบมองโลกในแง่ดี: แม้ว่า Bill Gates จะยึดหลักการออมเงินแบบระมัดระวัง (มองโลกในแง่ร้าย) แต่ในด้านการลงทุน เขากลับเชื่อมั่นในมุมมองของคนมองโลกในแง่ดี โดยเชื่อในศักยภาพระยะยาวของตลาดและเทคโนโลยี จึงกล้าตัดสินใจลงทุนในสิ่งที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งสุดท้ายก็ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า

    มุมมองในแง่ดีนี้เองที่ผลักดันให้ Microsoft กลายเป็นบริษัทแห่งนวัตกรรมและขยายตัวอย่างก้าวกระโดด จนสามารถครองความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีได้อย่างมั่นคง

Bill Gates กลายเป็นเศรษฐีเงินล้านครั้งแรกในเดือนมีนาคม ปี 1986 ขณะมีอายุ 30 ปี หลังจากนำ Microsoft เข้า IPO ในวันแรกที่บริษัทเปิดขายหุ้นต่อสาธารณะ Gates ได้ขายหุ้นออกไปมูลค่า 1.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ยังคงถือหุ้นอยู่ถึง 45% ของบริษัท ซึ่งคิดเป็นมูลค่าราว 350 ล้านดอลลาร์ ณ เวลานั้น

ต่อมาหุ้นของ Microsoft มีมูลค่าสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนในปี 1987 ที่ Bill Gates ได้กลายเป็นมหาเศรษฐีพันล้าน ด้วยราคาหุ้นที่พุ่งแตะ 90.75 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งทำให้เขาสร้างสถิติกลายเป็น “มหาเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุดในโลกในวัยเพียง 31 ปี”

นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Bill Gates ก็ถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในสหรัฐฯ ตามการจัดอันดับประจำปีของ Forbes 400 มาโดยตลอด โดยเขาครองตำแหน่งบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกระหว่างปี 1995–2007 และกลับมาทวงตำแหน่งอีกครั้งในปี 2009 รวมถึงช่วงปี 2014–2017

ตลอดช่วงทศวรรษ 1990 ที่ Bill Gates เริ่มให้ความสนใจในบทบาทผู้นำด้านสังคมมากขึ้น โดยได้รับแรงบันดาลใจจากภรรยา Melinda Gates และตามรอยแม่ของเขาที่เคยทำงานด้านสาธารณประโยชน์ ซึ่งในปี 2000 ได้มีการก่อตั้งกองทุนการกุศล “Bill & Melinda Gates Foundation” พร้อมสมทบเงินบริจาคกว่า 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยจุดเริ่มต้นของกองทุนนี้จะมุ่งเน้นไปที่ด้านการศึกษา สุขภาพ และการพัฒนาชุมชน

ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney

ขออภัยในความไม่สะดวก ระบบกำลังตรวจสอบการใช้งาน กรุณาลองใหม่อีกครั้ง

Thairath Money

แบบสำรวจพฤติกรรมการลงทุนของคนรุ่นใหม่

รู้หรือไม่ว่า สามารถโยกย้ายกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) ไปเป็นกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ได้

การเก็บรวบรวมข้อมูลนี้นำไปใช้เพื่อ กิจกรรมทางการตลาดโดย ยึดหลัก ปฏิบัติตามนโยบายคุ้มครองข้อมูล ส่วนบุคคล


เราใช้คุ้กกี้

เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น

อ่านเพิ่มเติมคลิก(Privacy Policy) และ (Cookie Policy)