Thairath OnlineThairath PlusThairath SportThairath TVMIRROR

อยาก “รวยขึ้น” ต้องทำอย่างไร เปิดเคล็ดไม่ลับสู่ความมั่งคั่ง ที่ชนชั้นกลางก็ทำได้

Date Time: 11 เม.ย. 2567 19:22 น.

Summary

  • ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเป็น “คนรวย” ที่มีกินมีใช้ไปตลอด โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายเป็นหนึ่งในความฝันอันสูงสุด สำหรับคน “ชนชั้นกลาง” Thairath Money สรุปเคล็ดไม่ลับสู่หนทางความมั่งคั่งที่คนชนชั้นกลางก็ทำตามได้

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเป็น “คนรวย” ที่มีกินมีใช้ไปตลอด โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายเป็นหนึ่งในความฝันอันสูงสุด สำหรับคน “ชนชั้นกลาง” ส่วนใหญ่ ความเหนื่อยล้าจากการทำงาน 8-10 ชั่วโมงต่อวัน

ทำให้หลายคนหมดแรงที่จะเจียดเวลาศึกษาหาความรู้ ต่อยอดความมั่งคั่งให้กับตัวเอง หันมาเลือกใช้จ่ายเพื่อความสุขในปัจจุบัน โดยที่ยังหวังลึกๆ ว่าวันหนึ่งจะโชคดี “ถูกหวย” 


สำหรับคนที่ยังไม่หมดไฟ อยากสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเอง ต้องพึงระลึกไว้เสมอว่า การรวยขึ้นอย่างยั่งยืนนั้นไม่มีทางลัด แต่เป็นไปได้ด้วยการใช้จ่ายและลงทุนอย่างชาญฉลาด 


Thairath Money สรุปเคล็ดไม่ลับสู่หนทางความมั่งคั่งที่คนชนชั้นกลางก็ทำตามได้ 

1. เปลี่ยน mindset ตั้งเป้าหมายการเงิน


สิ่งที่สำคัญที่สุด ในการริเริ่มเปลี่ยนแปลงไปสู่อะไรบางอย่าง คือ การปรับ mindset ให้พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ แนวคิดที่เป็นกับดักฉุดรั้งชนชั้นกลาง ไม่ให้เลื่อนสถานะคือ "พฤติกรรมใช้จ่ายเกินตัว" ทำให้ต้องใช้เงินเดือนชนเดือน ไม่มีเหลือเก็บ ค่าใช้จ่ายเพิ่มตามรายได้ ดังนั้นการที่เราจะเป็นคนที่มีความมั่งคั่ง อย่างแรก ต้องปรับแนวคิดการบริหารเงิน โดยให้มองว่าการเป็นคนที่มีความมั่งคั่งนั้น ไม่ได้วัดจากจำนวนเงินที่เราหาได้ แต่วัดจากวิธีการใช้เงิน เนื่องจากคนที่มีฐานะร่ำรวยส่วนใหญ่ เมื่อมีรายได้เพิ่มมักจะนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทน จนกลายเป็นรายได้ช่องทางที่สอง เมื่อได้กำไรมากพอจึงจะนำไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือย  

หลังจากปรับ mindset แล้ว ขั้นต่อไปที่เป็นหัวใจไปสู่ความมั่งคั่งคือ "การตั้งเป้าหมายทางการเงิน" ทั้งนี้แต่ละคนมีนิยามความมั่งคั่งที่แตกต่างกัน เราจึงต้องตอบตัวเองให้ได้ว่า เราอยากรวยขึ้นเพราะอะไร แล้วต้องมีเงินเท่าไรถึงจะตอบโจทย์รูปแบบการใช้ชีวิตได้

2. จัดการหนี้ให้เป็น


หนทางสู่ความมั่งคั่ง นอกจากจะรู้จักใช้เงินแล้ว ยังต้องรู้จัก "บริหารหนี้" ให้เป็นด้วย เนื่องจากการมีภาระหนี้มากเกินจำเป็น จะเป็นอุปสรรคที่ขัดขวางให้เราไปถึงเป้าหมายทางการเงินยากขึ้น โดยเฉพาะหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง อย่างหนี้บัตรเครดิตที่ไว้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะต้องรีบปิดจบให้ไว ก่อนกลายเป็นหนี้ก้อนใหญ่ เมื่อจัดทำรายรับ-รายจ่าย สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาคือ การสำรวจว่าตัวเองมีหนี้กี่ก้อน เป็นหนี้ประเภทไหนบ้าง อัตราดอกเบี้ยเท่าไร แล้วจึงวางแผนจัดการหนี้ โดยจัดประเภทและเรียงลำดับหนี้สิน ที่ต้องชำระก่อน-หลัง 


โดยหากหนี้สินมีหลายก้อนและอัตราดอกเบี้ยไม่เท่ากัน ให้เลือกปิดหนี้ก้อนที่ดอกเบี้ยแพงที่สุดก่อน เพื่อลดภาระดอกเบี้ยที่จะต้องจ่ายในอนาคต หากมีหนี้แต่ละก้อนอัตราดอกเบี้ยเท่าๆ กัน ให้เลือกปิดหนี้ก้อนที่มียอดคงเหลือน้อยที่สุด เพื่อลดจำนวนเจ้าหนี้ และทำให้เรามีเงินเหลือ เพื่อนำไปชำระหนี้ก้อนอื่นได้ ในขณะเดียวกันก็อย่าลืมสำรวจ “หนี้ดี” เช่น หนี้บ้านหรือหนี้รถว่าถึงเวลาต้องรีไฟแนนซ์ ลดภาระดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายแล้วหรือยัง 

3. มีเงินสำรองฉุกเฉิน


แม้การเก็บเงินจะไม่ทำให้เรารวยขึ้น แต่การมี “เงินสำรองฉุกเฉิน” ก็เป็นฟูกชั้นดีที่สามารถรองรับชีวิตเวลาเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ทำให้เราสามารถเดินหน้าต่อไป

เมื่อพูดถึงเงินสำรองฉุกเฉินหลายๆ คน อาจสงสัยว่าต้องมีเก็บเงินเท่าไรถึงจะพอ โดยทั่วไปแล้ว ถ้าเป็นช่วงสถานการณ์ปกติ แต่ละคนควรมีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน 3–6 เท่าของค่าใช้จ่ายแต่ละเดือน เช่น มีค่าใช้จ่ายแต่ละเดือน 15,000 บาท ควรมีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน 45,000–90,000 บาท


ทั้งนี้เงินสำรองฉุกเฉินของคนแต่ละอาชีพนั้นไม่เท่ากัน เนื่องจากมีสวัสดิการรองรับและความเสี่ยงต่างกัน

  • ฟรีแลนซ์ ในกรณีที่เราไม่มีรายได้และสวัสดิการที่แน่นอน ควรมีเงินสำรองฉุกเฉินอย่างน้อย 12 เดือน ซึ่งต้องครอบคลุมช่วงขาดรายได้ และอาการเจ็บป่วย
  • พนักงานบริษัท หากมีรายได้ประจำจากเงินเดือนและสวัสดิการรองรับบางส่วน ควรมีเงินสำรองฉุกเฉินอย่างน้อย 6 เดือน เพื่อรองรับหากตกงาน หรือลาออก
  • ข้าราชการ สำหรับอาชีพที่มีรายได้ประจำและสวัสดิการที่มั่นคงสำหรับตัวเองและครอบครัว ควรมีเงินสำรองฉุกเฉินอย่างน้อย 3 เดือน 


4. เริ่มลงทุนให้ไว


นอกจากเราจะไม่รวยขึ้นจากการเก็บออมเงินแล้ว เรายังไม่สามารถทำงานเพื่อให้มีรายได้ เลี้ยงตัวเองไปตลอดชีวิต ดังนั้นการนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ จึงเป็นการใช้เงินให้ทำงานแทน หรือที่เรียกว่า passive income ที่สร้างผลตอบแทนทบเงินต้นไปเรื่อยๆ และสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว ทั้งนี้การลงทุนมีหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับความถนัด และระดับความเสี่ยงที่รับได้ อย่างไรก็ตามต้นทุนที่สำคัญที่สุดในการลงทุน ไม่ใช่จำนวนเงิน แต่คือ “ระยะเวลา” ยิ่งเริ่มเร็ว ยิ่งมีโอกาสสร้างผลตอบแทนเยอะ

เนื่องจากหากเราเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุน้อย ยังมีเวลาหารายได้จากการทำงาน จึงรับความเสี่ยงได้มาก เมื่อเทียบกับการลงทุนตอนอายุเยอะ ที่ตามมาด้วยภาระและข้อจำกัดที่มากขึ้น ทำให้รับความเสี่ยงได้น้อยลง 


ทั้งนี้การลงทุนในหุ้น เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยม เนื่องจากให้ผลตอบแทนดี เช่น ดัชนี S&P 500 ที่เมื่อย้อนดูผลตอบแทนย้อนหลัง ตั้งแต่เดือน ม.ค. 2469 ถึงมิถุนายน พ.ศ. 2566 ดัชนีสามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึง 10.34% ต่อปี ตามข้อมูลของ Howard Silverblatt นักวิเคราะห์ดัชนีอาวุโสของดัชนี S&P Dow Jones


5. เปลี่ยนงาน อัปเงินเดือน


หลังจากที่เรียนรู้การวางรากฐานความมั่งคั่งในอนาคตไปแล้ว หนึ่งวิธีที่ทำให้เรารวยขึ้นแบบจับต้องได้ คือ การเลื่อนขั้นในหน้าที่การงาน เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น ตามประสบการณ์และความสามารถที่สั่งสมมา แต่การจะไปถึงจุดนั้นทักษะสำคัญที่ต้องมีคือ "การเจรจาต่อรองเงินเดือน"

รายงานของ Bloomberg ระบุว่า ช่วงค่าตอบแทนระดับสูง ควรมากกว่าค่าตอบแทนขั้นต่ำ ประมาณ 40% ถึง 60% อย่างไรก็ตามในความเป็นจริง ช่วงเงินเดือนโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 28% เท่านั้น


หากไม่สามารถเติบโตในองค์กรเดิมได้ วิธีหนึ่งในการเพิ่มรายได้ คือการเปลี่ยนงาน ยิ่งมีรายได้เพิ่มให้เหลือเอาไปลงทุนเท่าไร ยิ่งเพิ่มโอกาสให้เราสามารถไปถึงเป้าหมายทางการเงินได้เร็วขึ้นเท่านั้น


6. ทำธุรกิจเป็นของตัวเอง


แม้การเริ่มต้นทำธุรกิจสำหรับชนชั้นกลาง จะเป็นเรื่องยากและมีความเสี่ยงสูง เมื่อเทียบกับคนที่มีต้นทุน การทำธุรกิจสืบทอดจากครอบครัว แต่การเริ่มต้นทำธุรกิจเล็กๆ ถือเป็นความท้าทายที่ช่วยพัฒนาทักษะในหลายด้าน โดยเฉพาะทักษะการบริหารธุรกิจ หากจับทางได้และบริหารกิจการให้อยู่รอดในช่วง 3 ปีแรก ก็อาจทำให้ชนชั้นกลางหลายๆ คน ตั้งตัวได้เลยทีเดียว 

อ่านเทคนิคการบริหารเงิน การลงทุน ต่อได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/personal_finance

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney

ขออภัยในความไม่สะดวก ระบบกำลังตรวจสอบการใช้งาน กรุณาลองใหม่อีกครั้ง

Thairath Money

แบบสำรวจพฤติกรรมการลงทุนของคนรุ่นใหม่

รู้หรือไม่ว่า สามารถโยกย้ายกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) ไปเป็นกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ได้

การเก็บรวบรวมข้อมูลนี้นำไปใช้เพื่อ กิจกรรมทางการตลาดโดย ยึดหลัก ปฏิบัติตามนโยบายคุ้มครองข้อมูล ส่วนบุคคล


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ


เราใช้คุ้กกี้

เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น

อ่านเพิ่มเติมคลิก(Privacy Policy) และ (Cookie Policy)