นายสาระ ล่ำซำ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย เปิดเผยว่า ธุรกิจประกันชีวิตของปี 2566 มีเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 633,445 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 3.61% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีเบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ 178,470 ล้านบาท เติบโต 5.06% และเบี้ยประกันภัยรับปีต่อไป 454,975 ล้านบาท เติบโต 3.06% โดยผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือ สัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพและคุ้มครองโรคร้ายแรง ที่มีเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 109,786 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 5.93% คิดเป็นสัดส่วน 17.33% มาจากการที่ประชาชนใส่ใจดูแลสุขภาพ และบริหารความเสี่ยงและรับมือกับค่ารักษาพยาบาลที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบบำนาญก็ได้รับความสนใจอันเนื่องมาจากการที่ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มตัว รวมถึงมีการเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการวางแผนทางการเงินช่วงวัยเกษียณกันมากขึ้น เพราะนอกจากเป็นรูปแบบการออมประเภทหนึ่งที่มีความเสี่ยงต่ำแล้ว ยังได้รับความคุ้มครองชีวิต และสิทธิการลดหย่อนภาษีที่ทางภาครัฐให้การสนับสนุนมาตรการลดหย่อนภาษี จึงส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบบำนาญ ในปี 2566 มีเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 17,986 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 14.26% หรือคิดเป็นสัดส่วน 2.84%
นายสาระกล่าวอีกว่า สมาคมประกันชีวิตไทยได้ประมาณการอัตราการเติบโตของธุรกิจประกันชีวิตในปีนี้ อยู่ที่ 2-4% ซึ่งสอดคล้องกับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพี ปี 2567 ที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้คาดการณ์ไว้ที่ 2.2-3.2% ขณะเดียวกันปัจจัยสนับสนุนจากกระแสคนรักสุขภาพ อันเนื่องมาจากการที่ประชาชนตระหนักถึงผลกระทบของการเกิดโรคอุบัติใหม่ และมลภาวะจากฝุ่น PM 2.5 มากขึ้น รวมถึงแนวโน้มค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ประชาชนหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพ และมีการทำประกันสุขภาพมากขึ้น.
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่