และด้วยยุคสมัย และบริบทของสังคมไทยที่เปลี่ยนไป พฤติกรรมของผู้บริโภคก็เปลี่ยนตามอย่างรวดเร็ว รวมทั้งด้วยการเร่งของสถานการณ์โควิด-19 เดิมทีเราค่อยๆ ปรับ ค่อยๆ เปลี่ยน กลับกลายเป็นว่าต้องปรับตัวแบบอุกฤษฏ์ เพื่อตอบสนองกับเหตุการณ์โควิดที่เกิดขึ้นเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมาแทบจะตั้งตัวไม่ทัน
ทำให้ “คนรุ่นใหม่” เข้ามามีบทบาทในสังคมมากขึ้น บทบาทในที่นี้หมายถึงเป็นทั้งผู้เสพ และส่งข้อมูล ผู้มีอิทธิพลกับข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ การขาย หรือการบริการใดๆ และรวมทั้ง “ประกันชีวิต” และ “การวางแผนทางการเงิน” ด้วย เพราะในช่วงวัยรุ่นนี่แหละ ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่สุด หากวันใดวันหนึ่งคุณเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา หรือวางแผนที่จะมีครอบครัว ประกันชีวิตจะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยได้อย่างดี ผ่านการคุ้มครองที่พึงจะได้รับ
ดังนั้น “อาคเนย์ประกันชีวิต” จึงมองข้ามบริบทที่เปลี่ยนไปของสังคมไม่ได้ และยังคงไม่ทิ้งภาพเดิม หรือเปลี่ยนจากอาคเนย์ประกันชีวิตเป็นอย่างอื่น แต่จะเป็นภาพลักษณ์ของอาคเนย์ในรูปแบบ Commercial Brand เพราะอยากให้ “เด็กรุ่นใหม่” มองง่ายขึ้น รู้จักอาคเนย์ง่ายขึ้น และเข้าใจง่ายขึ้น ในมิติที่ทันสมัย และตรงกับความต้องการที่จะบริโภคข่าวสาร ข้อมูล ที่มากยิ่งขึ้น
“อาคเนย์” ได้มีการปรับเปลี่ยนจุดยืนทางการตลาด จากบริษัทของคนไทยที่อยู่คู่คนไทยมากว่า 77 ปี สู่ SE life อาคเนย์ประกันชีวิตที่มองเห็นทุกๆ วันธรรมดาเป็นเรื่องสำคัญ ผ่านการดูแลความคุ้มครองชีวิต เรื่องของการวางแผนทางการเงิน การคุ้มครองสุขภาพ การวางแผนอนาคตหลังเกษียณ ภายใต้การลงทุนนี้สามารถตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ต้องการใช้ชีวิตอย่างมีอิสระ และมีอิสระที่จะเลือก พร้อมกับวางแผนชีวิตของตนเอง โดยไม่ต้องมีกฎระเบียบของสังคมมาเป็นตัวกำหนด
ดังนั้นจึงได้มีการปรับวิธีการคิด วิธีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และวิธีการสื่อสารให้เข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่จริงๆ นับเป็นจุดเริ่มต้นของการปรับ “จุดยืนทางการตลาด” เพื่อไปยืนในใจของเด็กรุ่นใหม่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ที่ถึงแม้ว่าจำนวนคนรุ่นใหม่ในปัจจุบันนี้จะเป็นเพียง 20% ของจำนวนประชากรทั้งหมด แต่ในอนาคตจะกลายมาเป็น 100%
และด้วยธรรมชาติของคนมองว่า “ประกัน” เป็นเรื่องที่เข้าใจยาก ด้วยวิธีการคิดต่างๆ และยิ่งการสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ที่จะต้องใช้ภาษาที่ค่อนข้างต่าง นับเป็น Paint point ที่ทำให้คนรุ่นใหม่มองข้ามประกันหรือไม่? นั้น ในมุมมองของ ภฤตยา สัจจศิลา กรรมการผู้จัดการ บมจ. อาคเนย์ประกันชีวิต เธอมองว่า อาคเนย์พยายามทำให้ประกันชีวิต “ง่าย” และจากงานวิจัยพบว่าเด็กรุ่นใหม่ชอบอะไรที่เป็น Personal life หรือเฉพาะเจาะจง ที่ต้องเลือกเองได้ เข้าถึงได้ง่าย ซื้อง่าย จ่ายจบไม่เกินระยะเวลา 10 นาที
รวมทั้งในแบบประกันจะต้องเลือกและตัดสินใจเองได้ ทั้งความคุ้มครอง และระยะเวลา จำนวนเงินที่มีมากน้อยได้ แค่ Pick and Choose เท่านั้น จึงได้พัฒนารูปแบบประกันที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ผ่านการซื้อที่ง่ายบน D-Life ซึ่งเป็น Digital Tools ที่ช่วยให้การประกันชีวิตและวางแผนการเงินเป็นเรื่องง่ายๆ เพียง 10 นาที โดยทั้งหมดนี้ถือเป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ควบคู่กับการเสนอขายเพื่อให้ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่จริงๆ เพราะด้วยทุกวันนี้ทุกคนใช้ชีวิตอยู่บน “ไลน์” มากกว่าบน “เลน” ดังนั้นลูกค้าจะสามารถเคลมตอนไหนก็ได้ผ่าน Line OA ด้วยแนวคิดที่ว่าเป็นการปรับรูปแบบการบริการและการเชื่อมต่อลูกค้าในรูปแบบใหม่โดยการนำเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายรุ่นใหม่มากขึ้น โดยทั่วไปสิ่งที่คนรุ่นใหม่เลือกส่วนใหญ่เป็นประกันสุขภาพที่มี IPD, OPD
ขณะเดียวกันด้วยปัจจัยกระแสเงินเฟ้อ การโหวตนายกฯ ดอกเบี้ยขาขึ้น มีผลกระทบกับธุรกิจประกันหรือไม่นั้น เธอเล่าว่า จากการที่อยู่ในแวดวงประกันชีวิตมากว่า 25 ปี ผ่านวิกฤติทางการเงินมาหลายต่อหลายครั้ง แต่ธุรกิจประกันชีวิตกลับไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย
ทั้งนี้หากเป็นกลุ่ม First Jobber หรือคนเพิ่งเริ่มทำงาน ควรที่จะทำประกันประมาณ 5-10% ของรายได้
เนื่องจากประกันชีวิตเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจิตใจ ดังนั้นอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ยังคงต้องการ Human Touch คือ การปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ เพราะต่อให้มีเทคโนโลยี แต่การปิดการขายเรายังคงต้องพึ่งตัวแทนประกัน ลูกค้ายังคงต้องการคุยกับใครสักคนที่คอยดูแลและรับผิดชอบ
แต่ถามว่า AI เข้ามาช่วยหรือไม่นั้น หากดูจาก D-Life นับเป็นการผสมผสานระหว่างบอทกับมนุษย์เข้าด้วยกัน และทำให้เกิดการทำงานอย่างประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นการเสริมแกร่งให้กัน พร้อมกับติดอาวุธให้กับตัวแทน หากใครเอาตัวแทนออกและนำเทคโนโลยีนั้นเป็นมองว่าเป็นเพียงกลยุทธ์ระยะสั้นเท่านั้น
ส่วนในช่วงครึ่งปีหลังมองว่าเป็นความท้าทายของธุรกิจประกันหรือไม่ และหากมีวิกฤติมีแผนที่จะรับมือหรือไม่ คุณภฤตยา มองว่า ความท้าทายในธุรกิจประกันชีวิตเกิดขึ้นตลอดเวลา เพียงแต่ว่าธุรกิจประกันชีวิตในประเทศไทยเป็นสิ่งที่สวยงาม เพราะการแข่งขันของภาคธุรกิจนี้ล้วนเป็นการแข่งขันแบบ “น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า” ไม่ได้เป็นการแข่งขันแบบเฉือนเลือดเฉือนเนื้อ รวมทั้งมี สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) คอยส่งเสริมในภาคของธุรกิจประกัน และมีสมาคมประกันชีวิตไทย TLAA ช่วยสร้างสมดุลให้กับธุรกิจเพื่อให้สามารถเติบโตไปได้อย่างยั่งยืนทั้ง 23 บริษัทในประเทศไทย โดยเป็นการจับมือร่วมกันสร้างความยั่งยืนของธุรกิจประกันชีวิตในประเทศไทย
เพราะตระหนักรู้ว่าคนไทยทั้ง 18 ล้านคนยังไม่มีความคุ้มครอง ซึ่ง Insurance accessibility และ Insurance inclusive ยังไม่เกิดขึ้นในประเทศไทย จึงเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของภาคธุรกิจ และบริษัทประกันชีวิต รวมถึงประกันภัยแทบจะทุกบริษัท ที่จะต้องมารับผิดชอบในการที่จะทำให้ประชาชนเข้าถึง Insurance ให้ได้มากที่สุด
ซึ่งมองว่าการทำประกันนั้นยังกระจุกตัวอยู่แค่ในพื้นที่กรุงเทพฯ เท่านั้น แต่ในอีกหลายๆ ที่อย่างเช่นต่างจังหวัด Underserved Market มีอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มคนตัวเล็ก รวมถึงกลุ่มผู้ด้อยโอกาส และ LGBTQ รวมทั้ง Single mom ที่ออกแบบโดยเฉพาะ เพราะความตั้งใจที่จะให้ “คนไทยทุกคนมีความคุ้มครองชีวิต สุขภาพ แบบเท่าเทียม โดยที่ไม่ต้องรอคิว”
สำหรับ SE Life ถือได้ว่ามาถูกทาง ถูกกลยุทธ์แล้ว แต่จะต้องพิสูจน์ให้ลูกค้าเชื่อได้ว่าเราทำจริง และทำได้จริงผ่าน 3 บทพิสูจน์คือ
1.สำหรับลูกค้า SE Life ได้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตและสุขภาพ ที่ลูกค้าสามารถออกแบบความคุ้มครองเองได้
2.สำหรับตัวแทนฝ่ายขาย SE Life เพิ่มศักยภาพตัวแทนและช่องทางการขายที่ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้ง่ายและสะดวกขึ้น และ
3.สำหรับพันธมิตรทางธุรกิจ ได้จับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อการเติบโตและเข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่มได้จำนวนมาก ผ่านเครือข่ายพันธมิตร เพื่อมุ่งสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการประกันชีวิตในประเทศไทย ที่ลูกค้า คู่ค้า และพนักงานเชื่อมั่นภายในปี 2569
สุดท้ายนี้ คุณภฤตยา มองว่า เทรนด์ประกันที่น่าจะเกิดขึ้นในอนาคตจะเป็นในรูปแบบ Personalized มากขึ้น ไปทาง Cyber Insurance รวมทั้งการวางแผนเกษียณอายุรูปแบบใหม่ที่มี living benefits เพิ่มเข้ามาด้วย ซึ่งจะไม่เป็นประกันแบบเดี่ยวๆ หรือ Traditional แต่จะเป็น Total Solution ที่เป็นการรวมหลายๆ อย่างในตัวทั้ง ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ พร้อมกับบริการต่างๆ อย่างการตรวจสุขภาพ DNA Test หรือแม้กระทั่ง Health & Wellness Ecosystem ที่ดึงคนรุ่นใหม่เข้ามาอยู่ในระบบนิเวศของธุรกิจประกันชีวิตนั่นเอง
ซึ่งสอดคล้องกับที่ภาคธุรกิจมองว่าผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่จะได้รับความนิยมและมีศักยภาพในการเติบโตสูง คือ ผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพและโรคร้ายแรง (Health & CI) รวมถึงผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุน (Universal Life และ Unit Linked) เนื่องจากนักลงทุนเริ่มมองหาช่องทางการลงทุนใหม่ ที่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงขึ้นภายใต้ระดับความเสี่ยงที่พอรับได้ รวมถึงได้รับความคุ้มครองจากการประกันชีวิตรวมอยู่ด้วย
สำหรับปี 2566 สมาคมประกันชีวิตไทยคาดการณ์ว่าธุรกิจประกันชีวิตจะมีเบี้ยประกันภัยรับรวม 612,500-623,500 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตระหว่างร้อยละ 0-2 มีอัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์ ร้อยละ 81-82 ซึ่งการคาดการณ์ในครั้งนี้ก็ยังสอดคล้องกับการคาดการณ์ GDP ของประเทศที่มีการขยายตัว ร้อยละ 2.7-3.7 (ข้อมูลจากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติด้วยอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทย ปี 2566)
อย่างไรก็ตามธุรกิจประกันชีวิตยังคงต้องติดตามสถานการณ์ความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจภายในประเทศ รวมถึงแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย (Yield Curve) แต่ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าภาคธุรกิจก็ได้มีการเตรียมความพร้อมในการปรับพอร์ตทั้งในส่วนของการลงทุนและ Product mix และทิศทางกลยุทธ์การดำเนินงานของบริษัทประกันชีวิตที่ต้องปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์อย่างทันท่วงที เพื่อให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ…