Thairath OnlineThairath PlusThairath SportThairath TVMIRROR

“ยื่นภาษี” หรือยังวัยรุ่น? รวมข้อมูลที่มือใหม่ต้องรู้ ก่อนเสียภาษีครั้งแรก

Date Time: 6 ก.พ. 2568 12:34 น.

Summary

  • ยื่นภาษีครั้งแรกในชีวิตไม่ใช่เรื่องยาก หากเข้าใจหลักการพื้นฐานและกระบวนการที่ต้องปฏิบัติ รู้จัก “เงินได้สุทธิ” และ “อัตราภาษีแบบขั้นบันได” พร้อมวิธีการกรอกรายการต่างๆ ให้ถูกต้อง

“การยื่นภาษี” เป็นเรื่องที่หลายคนอาจมองว่ายุ่งยาก โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน และมีรายได้ที่ต้องเสียภาษีเป็นครั้งแรก แต่ในความเป็นจริงแล้ว การยื่นภาษีไม่ใช่เรื่องซับซ้อน หากเข้าใจหลักการพื้นฐานและกระบวนการที่ต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง ซึ่งหน้าที่ของผู้มีรายได้ คือการแจ้งข้อมูลรายได้ที่เกิดขึ้นในปีภาษีนั้นๆ ให้กับกรมสรรพากรผ่านการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งกำหนดให้ยื่นแบบระหว่างเดือนมกราคมถึงมีนาคมของปีถัดไป และถ้ายื่นทางออนไลน์ ปีนี้ได้ถึง 8 เมษายน 2568

ก่อนจะเริ่มต้นยื่นภาษี สิ่งที่ต้องรู้คือ รายได้ของเราถูกจัดอยู่ในประเภทใด เนื่องจากประเภทของรายได้มีผลต่อการคำนวณภาษีและสิทธิในการหักค่าใช้จ่าย เช่น เงินเดือน โบนัส หรือค่าจ้างจากการทำงานเป็นฟรีแลนซ์ มีหลักเกณฑ์การคำนวณที่แตกต่างกัน

ดังนั้น การทำความเข้าใจเรื่อง “เงินได้สุทธิ” ซึ่งคำนวณจากรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน จะช่วยให้เราวางแผนภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพและอาจช่วยลดภาระภาษีที่ต้องจ่าย

เมื่อเข้าใจประเภทเงินได้และการบริหารเงินได้สุทธิแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการกรอกรายการต่างๆ ให้ถูกต้องและครบถ้วน โดยเฉพาะการตรวจสอบข้อมูลรายได้ที่มีอยู่ในระบบของกรมสรรพากร เพื่อให้มั่นใจว่าเรายื่นภาษีตรงกับรายได้จริง

มือใหม่หัดยื่นภาษี ต้องรู้อะไรบ้าง?

สมาคมนักวางแผนการเงินไทย ระบุไว้ในบทความ “วิธียื่นภาษีที่ First jobber ต้องรู้” ว่า ในเรื่องของการวางแผนภาษี ประกอบด้วยกัน 2 เรื่อง คือ

  • เรื่องแรก คือ การบริหารจัดการเงินได้สุทธิ (เงินได้สุทธิ = เงินได้พึงประเมิน - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน)
  • เรื่องที่สอง คือ การกรอกรายการต่างๆ ให้ถูกต้อง ทั้งเงินได้ ค่าใช้จ่าย และค่าลดหย่อน

กรมสรรพากรจะคิดภาษีเรา จากเงินได้สุทธิตามอัตราก้าวหน้า คือ เงินได้สุทธิยิ่งสูง อัตราภาษียิ่งแพง (ตั้งแต่ 0% - 35%) ดังนั้น เป้าหมายเราก็คือ ทำให้เงินได้สุทธิต่ำให้มากที่สุด ด้วยการหาเงินได้ในประเภทที่หักค่าใช้จ่ายได้มาก โดยสรรพากรได้แบ่งเงินได้ออกเป็น 5 หมวดในปี 2568 ดังนี้

  • รายได้จากเงินเดือน
  • รายได้จากฟรีแลนซ์ รับจ้างทั่วไป วิชาชีพอิสระ
  • รายได้จากทรัพย์สินการทำธุรกิจ
  • รายได้จากการลงทุน
  • รายได้จากมรดก

เนื่องจากการยื่นภาษีเงินได้ช่วงนี้ จะเป็นการยื่นภาษีเงินได้สำหรับปี 2567 ที่ผ่านมา ดังนั้น เราไม่สามารถบริหารจัดการ หรือเปลี่ยนแปลงประเภทเงินได้แล้ว แต่สามารถนำข้อมูลตรงนี้ไปใช้สำหรับการบริหารเงินได้ในปี 2568 นี้และปีต่อๆ ไปได้

สำหรับปี 2567 หากเราสงสัยว่าเงินได้ที่เราได้รับอยู่ในเงินได้ประเภทใด วิธีง่ายๆ คือ สำหรับเงินได้ที่มีการหักภาษี ณ จ่าย ให้ดูใบหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) ที่บริษัทที่เราทำงานให้ หรือผู้จ้างเราเป็นผู้จ่ายเงิน ได้มอบให้เราไว้เพื่อเป็นหลักฐานในการหักภาษี ณ ที่จ่ายโดยเราจะใช้ใบหักภาษี ณ ที่จ่ายเป็นหลักฐานประกอบการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี (ภ.ง.ด. 91/90) ซึ่งใบหักภาษี ณ ที่จ่ายจะระบุประเภทเงินได้ที่เราได้รับ

นอกจากนี้ หลักพื้นฐานในการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้ปลอดภัยจากภาษีย้อนหลังคือ "ห้ามยื่นรายได้น้อยกว่ารายได้ในระบบกรมสรรพากร" เพราะถ้ายื่นรายได้น้อยกว่ารายได้ที่มีในระบบกรมสรรพากร กรมสรรพากรจะเรียกเรามาชี้แจงว่าทำไมเรายื่นรายได้ไม่ครบ

วิธีเช็คเงินได้เราในระบบสรรพากร คือ เข้าเว็บไซต์สรรพากรเลือกเมนู Digital MyTax เลือกเข้าสู่ระบบด้วย Digital ID จากนั้น เราก็กรอกข้อมูล และยืนยันตัวตนตามระบบ สุดท้ายจะขึ้นหน้าจอ

หากเราตรวจสอบข้อมูลและเห็นว่าถูกต้องครบถ้วน และมีความประสงค์จะใช้ข้อมูลในระบบสรรพากรในการยื่นแบบ ก็สามารถยื่นแบบได้เลยทันที สะดวกและรวดเร็วมาก

รายได้เท่าไร ต้องเสียภาษี?

สำหรับการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปัจจุบันใช้ระบบอัตราก้าวหน้า ซึ่งหมายความว่า ยิ่งมีรายได้สูง อัตราภาษีที่ต้องจ่ายก็จะสูงขึ้น โดยกรมสรรพากรกำหนดอัตราภาษีเป็นขั้นบันได ดังนี้

  • รายได้ไม่เกิน 150,000 บาทต่อปี - ได้รับการยกเว้นภาษี (ภาษี 0%)
  • รายได้ 150,001-300,000 บาทต่อปี - อัตราภาษี 5%
  • รายได้ 300,001-500,000 บาทต่อปี - อัตราภาษี 10%
  • รายได้ 500,001-750,000 บาทต่อปี - อัตราภาษี 15%
  • รายได้ 750,001-1,000,000 บาทต่อปี - อัตราภาษี 20%
  • รายได้ 1,000,001-2,000,000 บาทต่อปี - อัตราภาษี 25%
  • รายได้ 2,000,001-5,000,000 บาทต่อปี - อัตราภาษี 30%
  • รายได้มากกว่า 5,000,000 บาทต่อปี - อัตราภาษี 35%

อย่างไรก็ตาม ภาษีที่ต้องจ่ายจริงไม่ได้คิดจากรายได้ทั้งหมด แต่คำนวณจากเงินได้สุทธิ (หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน) เช่น หากมีรายได้ 400,000 บาทต่อปี จะไม่ได้ถูกหักภาษี 10% ทั้งหมด แต่จะถูกคิดตามขั้นบันได

เช่น 150,000 บาทแรกไม่เสียภาษี ส่วนที่เกินไปแต่ละช่วงจะถูกคำนวณตามอัตราที่กำหนด ดังนั้น การวางแผนลดหย่อนภาษีจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อช่วยลดภาระภาษีที่ต้องจ่ายจริง

ดังนั้น การเข้าใจเรื่องเหล่านี้ จะเป็นพื้นฐานสำคัญของมนุษย์เงินเดือน และหากยื่นภาษีเป็นตั้งแต่ปีแรกเข้าทำงาน ก็น่าจะทำให้อนาคตการเงินมีการแผนได้แม่นยำมากขึ้นได้ด้วย

อ่านบทความกับ Thairath Money ได้ที่

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้

ขออภัยในความไม่สะดวก ระบบกำลังตรวจสอบการใช้งาน กรุณาลองใหม่อีกครั้ง

Thairath Money

แบบสำรวจพฤติกรรมการลงทุนของคนรุ่นใหม่

หลักสูตรความรู้ทางการเงิน ควรมีการเรียน/ การสอน ช่วงไหน

การเก็บรวบรวมข้อมูลนี้นำไปใช้เพื่อ กิจกรรมทางการตลาดโดย ยึดหลัก ปฏิบัติตามนโยบายคุ้มครองข้อมูล ส่วนบุคคล


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ


เราใช้คุ้กกี้

เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น

อ่านเพิ่มเติมคลิก(Privacy Policy) และ (Cookie Policy)