กกร.ถก ผู้ว่าการ ธปท. เร่งแก้ปัญหาเข้าถึงสินเชื่อ-หนี้สินเอสเอ็มอี ด้าน ม.หอ การค้าไทย ชี้แบงก์พาณิชย์ลดเงินส่งกองทุนเอฟไอดีเอฟครึ่งหนึ่ง และเอาอีกครึ่งมาช่วยลดหนี้ให้เอสเอ็มอี ช่วยปลดล็อกปัญหาหนี้ได้แน่ พร้อมร้องรัฐแก้ปัญหาสินค้าจีน ธุรกิจสีเทา
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) และประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 14 พ.ย.67 ตนพร้อมด้วยนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และนายผยง ศรีวณิช ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร กกร. ได้เข้าพบและหารือกับนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และคณะ เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นด้านเศรษฐกิจ และการเงินในมุมมองของภาคธุรกิจ โดยประเด็นหลักๆที่หารือ คือ การเข้าถึงสินเชื่อและภาระหนี้ของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทย รวมถึงผลกระทบจากภูมิรัฐศาสตร์และการเข้ามาแข่งขันของสินค้าจีน
นอกจากนี้ ยังได้พูดคุยกันถึงการยกระดับความร่วมมือระหว่างกันในระยะต่อไป ทั้งในเรื่องการแลกเปลี่ยนข้อมูลและการศึกษาในประเด็นที่อยู่ในความสนใจร่วมกัน ทั้งระดับส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เพื่อสนับสนุนการเติบโตของภาคธุรกิจไทย ให้สามารถแข่งขันได้ในบริบทเศรษฐกิจที่อาจผันผวนและท้าทายมากขึ้น
ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ในการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย เดือน ต.ค.67 ที่สำรวจจากความคิดเห็นภาคธุรกิจสมาชิกหอการค้าทั่วประเทศ พบว่า ภาคธุรกิจมีปัญหารุมเร้ารอบด้าน และเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหา โดยเฉพาะการกระตุ้นเศรษฐกิจปลายปี รวมถึงการแก้ปัญหาหนี้ การเข้าถึงสินเชื่อให้มากขึ้น รวมถึงมีมาตรการควบคุมสินค้าจีนที่อาจทะลักเข้าไทยจนกระทบต่อเอสเอ็มอี ทำให้แข่งขันได้ยาก
โดยเห็นว่ามาตรการที่สมาคมธนาคารไทยได้หารือกับ ธปท. และคาดจะเริ่มใช้ต้นปี 68 คือ การลดส่งเงินเข้ากองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (เอฟไอดีเอฟ) ลงครึ่งหนึ่ง หรือเหลือ 0.23% จากปัจจุบันที่ 0.46% และอีกครึ่งหนึ่งให้ธนาคารพาณิชย์นำมาช่วยลดหนี้ให้ประชาชนและเอสเอ็มอี เช่น งดเก็บดอกเบี้ยจากลูกค้าเงินกู้ หรือให้ผ่อนชำระเฉพาะเงินต้น ซึ่งสมาคมธนาคารไทย คาดจะได้ยอดเงินสูงถึง 1.4 ล้านล้านบาท มาช่วยเหลือประชาชน และเอสเอ็มอีนั้น จะช่วยให้เอสเอ็มอีมีสภาพคล่องในการทำธุรกิจมากขึ้น เพราะจะช่วยปลดล็อกปัญหาหนี้สิน และผ่อนคลายปัญหาทางการเงิน
นอกจากนี้ ยังต้องการให้รัฐบาลดำเนินการอย่างเข้มข้น คือ การควบคุมการทะลักเข้ามาของสินค้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน ที่มีราคาถูก และด้อยคุณภาพ ทำให้สินค้าของเอสเอ็มอีไทยขายยาก และแข่งขันลำบาก ซึ่งภาคเอกชนประเมินเบื้องต้นว่า สินค้าจีนที่นำเข้ามา จะสร้างความเสียหายให้เอสเอ็มอีระดับ 60,000 ล้านบาท แต่ล่าสุด คาดว่าจะทะลุ 100,000 ล้านบาท จึงต้องการให้รัฐเร่งแก้ไข และทำให้ผู้ประกอบการต่างชาติแข่งขันกับผู้ประกอบการไทยอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม รวมถึงธุรกิจสีเทาของต่างชาติ ทั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พนันออนไลน์ ก็ต้องเร่งปราบปรามเช่นกัน.
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่