คนไทยได้ชื่อว่าเป็นชนชาติที่ใช้อินเตอร์เน็ตมากที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง ข้อมูลจาก Global Digital Report 2024 ซึ่งรายงานการใช้อินเตอร์เน็ตของ 230 ประเทศทั่วโลก พบว่า ประชากรไทย 71.85 ล้านคน (ข้อมูลล่าสุดมีประชากรกว่า 66 ล้านคนเท่านั้น) มีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 88% คิดเป็นประชากรราว 63.2 ล้านคน น่าทึ่งไหม
และ คนไทยก็เป็นชนชาติที่ “ถูกหลอกทางอินเตอร์เน็ต” มากเป็นอันดับ 1 ในเอเชีย คนไทยใช้อินเตอร์เน็ตเฉลี่ยวันละ 7.58 ชั่วโมง เกือบเท่า 8 ชั่วโมงทำงานในหนึ่งวัน ส่วนใหญ่เป็นการใช้เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือที่เป็นสมาร์ทโฟน แต่ “ขาดทักษะทางดิจิทัล” ซึ่งเป็นส่วนสำคัญ
คุณรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการแบงก์ชาติ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน เปิดเผยว่า จากการแจ้งความออนไลน์ ของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระหว่าง 1 มีนาคม 2565-31 พฤษภาคม 2567 พบมูลค่าความเสียหายกว่า 63,000 ล้านบาท จากการหลอกลวงทุกประเภท สูงสุดคือ หลอกลงทุน รองมาคือ หลอกโอนเงิน ในช่วง 1 ปี ตั้งแต่มีนาคม 2566-เมษายน 2567 มีการอายัดบัญชีรวมเกือบ 200,000 บัญชี กว่า 30% เป็นบัญชีใหม่
ดังนั้น เพื่อกำจัด “บัญชีม้า” ที่เป็นเครื่องมือในการหลอกลวง ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ แบงก์ชาติ จึงได้กำหนด ให้ธนาคารเพิ่ม 2 บริการใหม่บนช่องทางดิจิทัล หรือ Mobile Banking เพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าในการป้องกันภัยทางการเงิน โดยธนาคารต่างๆจะต้องพัฒนาให้แล้วเสร็จภายในไตรมาส 4 ในปี 2567 นี้ 2 บริการใหม่ที่ว่ามีดังนี้
1.การล็อกวงเงินที่ห้ามทำธุรกรรมออนไลน์ (Money Lock) การปลดล็อกวงเงินดังกล่าวจะทำได้ยากขึ้น บัญชีที่มีวงเงินก้อนใหญ่ อาทิ บัญชีออมทรัพย์ ลูกค้าสามารถเลือกล็อกวงเงิน หรือประเภทบัญชีได้ ตัวอย่างเช่น สิงคโปร์ เจ้าของบัญชีสามารถเลือกล็อกเฉพาะบัญชี หรือล็อกวงเงินเพียงบางส่วน อาทิ ล็อกวงเงิน 90% และอีก 10% เป็นวงเงินที่สามารถทำธุรกรรมได้ แต่การปลดล็อกอาจต้องไปทำที่สาขา เป็นต้น
มาตรการนี้ แต่ละธนาคารสามารถออกแบบเองได้ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้า และช่วยลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้จากภัยการเงิน นอกจากนี้ยังสามารถ ปรับลดวงเงินต่อครั้งในการสแกนใบหน้า เพื่อทำธุรกรรมบน Mobile Banking ให้ต่ำกว่า 50,000 บาท โดยธนาคารสามารถปรับวงเงินเป็นขั้นๆได้ เช่น 20,000 บาท ตามเทียร์ของลูกค้า
2.การโอนเงินที่อาศัยบุคคลอื่นช่วยอนุมัติ (Double Authorization) หรือการโอนเงินเฉพาะรายชื่อที่กำหนดไว้ล่วงหน้า หากจะมีการโอนเงินจะให้บุคคลที่ไว้ใจ เช่น พ่อแม่ พี่น้อง ช่วยดูแลอีกทางหนึ่ง ก่อนจะมีการทำธุรกรรมเกิดขึ้น เพื่อป้องกันการถูกหลอกลวง หรือการกำหนดชื่อไว้ล่วงหน้าสำหรับธุรกรรมโอนเงินโดยเฉพาะ
นอกจากสองมาตรการนี้แล้ว คุณดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการแบงก์ชาติ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน เปิดเผยว่า แบงก์ชาติยังได้เพิ่มมาตรการเข้มข้นในการกวาดล้าง “บัญชีม้า” อีก 2 มาตรการ คือ
1.ยกระดับการจัดการ “บัญชีม้า” จากระดับ “บัญชี” เป็นระดับ “บุคคล” เพื่อเข้าถึงผู้ต้องสงสัยได้เร็วขึ้น โดยโยงข้อมูลจาก 3 แหล่งคือ ปปง. ระบบข้อมูล Central Fraud Registry (CFR) และ ITMX และ บัญชีที่มีการโอนเงินเข้าออกน้อยในเวลาสั้นๆ แล้วมีการโอนเงินเข้าออกมูลค่าสูง ที่ธนาคารจะต้องจับตา
2.เพิ่มความเข้มงวดในการเปิดบัญชีใหม่ ธนาคารจะต้องตรวจสอบประวัติลูกค้าที่มาเปิดบัญชีจากข้อมูล 3 แหล่งนี้ ต่อไปนี้การเปิดบัญชีม้าจะไม่ง่ายเหมือนเดิมอีกแล้ว
ก็หวังว่ามาตรการใหม่ๆเหล่านี้จะสามารถปราบ “แก๊งหลอกลวง” และ “บัญชีม้า” ได้สำเร็จ ถ้าจะให้เข้มข้นกว่านี้ กระทรวงดีอี และ กสทช. ต้องออกกฎบังคับให้ “2 ค่ายโทรศัพท์มือถือ” ขึ้น “บัญชีดำ” ผู้ต้องหากลุ่มนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ซื้อซิมไปหลอกลวงในระบบ Mobile Banking อีกในอนาคต จะปราบให้สิ้นซากทั้งที ต้องปราบให้ครบวงจรครับ.
“ลม เปลี่ยนทิศ”
คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม