นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตั้งแต่เข้ามาทำงานที่ไทยพาณิชย์ จนถึงวันนี้ 456 วันที่ผ่านมา ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้ดำเนินงานภายใต้กลยุทธ์ Digital Bank with Human Touch มาอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายการเป็นดิจิทัลแบงก์ที่เป็นอันดับหนึ่ง ด้านการบริหารความมั่งคั่ง ผ่านประสบการณ์การให้บริการที่เชื่อมถึงกันอย่างไร้รอยต่อในทุกช่องทาง ส่งผลให้ธนาคารยังคงมีผลประกอบการที่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ในทุกด้าน โดยในไตรมาสแรกของปีนี้ มีกำไรสุทธิจำนวน 13,299 ล้านบาท เติบโต 13.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (C/I) อยู่ที่ 37.7% และมีผลตอบแทนสำหรับผู้ถือหุ้น (ROE) 12.7% สูงที่สุดในอุตสาหกรรมและสร้างรายได้จากช่องทางดิจิทัลขยับสู่ 9.9% ของรายได้รวม
นอกจากนั้น จนถึงขณะนี้ธนาคารไทยพาณิชย์ ยังปล่อยสินเชื่อเพื่อความยั่งยืนได้สูงที่สุดอีกด้วย โดยมียอดคงค้าง 86,000 ล้านบาท และจะสามารถปล่อยสินเชื่อได้ตามเป้าหมาย 3 ปีของธนาคารที่ 150,000 ล้านบาท
“จากเทรนด์การเงินของโลก จากนี้ไป เรื่องแรก ธนาคารต้องคำนึงถึงลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ต้องตอบสนองความต้องการทางการเงินได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำแบบเฉพาะบุคคล โดย 83% ของลูกค้าธนาคารทั่วโลกต้องการนวัตกรรมการเงินที่ทันสมัย ขณะที่ 82% ของธนาคารทั่วโลกใช้ข้อมูลเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้า และป้องกันมิจฉาชีพ (Fraud) ซึ่งธนาคารมีแนวทางชัดเจนที่จะเป็นดิจิทัลแบงก์เต็มรูปแบบ ซึ่งจะต่อยอดไปสู่เทรนด์โลกที่ 2 คือ ความได้เปรียบทางการแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดที่กำลังเพิ่มมากขึ้น และเทรนด์ที่ 3 คือ การดูแลชุมชน ทั้งการดูแลคน เพิ่มทักษะดิจิทัลให้พนักงาน และการดูแลคนตัวเล็ก ดูแลชุมชน ดูแลสังคมไปพร้อมกันด้วย”
ในปีนี้ได้ให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยี AI มาขับเคลื่อนธุรกิจธนาคารในทุกมิติ โดยได้กำหนดการดำเนินงานเชิงกลยุทธ์ภายใต้โมเดล Better Brain นำ AI และ Machine Learning มาพัฒนาใช้งานวางรากฐาน โดยใช้ AI ในการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลของลูกค้า เพื่อให้เป็นธนาคารที่รู้จักรู้ใจลูกค้าเป็นรายบุคคล ทำให้เข้าถึงบริการผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลของธนาคารได้ทุกที่และทุกเวลา รวมทั้งให้บริการที่ดีขึ้นให้กับลูกค้า
ธนาคารได้พัฒนา 3 นวัตกรรม AI ที่พร้อมมอบประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้าธนาคารไทยพาณิชย์เป็นครั้งแรก คือ 1.การนำ AI อนุมัติสินเชื่อรายย่อย 100% ครอบคลุมสินเชื่อเคหะ สินเชื่อเช่าซื้อ และสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการรายย่อย (SSME) ทราบผลอนุมัติภายใน 10 นาที และการใช้เพื่อประเมินความเสี่ยงลูกค้าจากข้อมูลเชิงลึก จะช่วยกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมให้กับลูกค้า ซึ่งจะไม่เพียงช่วยลูกค้า แต่ยังช่วยวิเคราะห์ความเสี่ยงของการเป็นหนี้เสียของลูกหนี้แต่ละราย ระยะเวลาที่ควรโทร.ติดตามหนี้ โดยหลังจากที่เริ่มให้ AI อนุมัติสินเชื่อรายย่อย พบว่า มีลูกค้าจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะผู้ประกอบการอาชีพอิสระที่ไม่เคยเข้าถึงสินเชื่อธนาคาร ได้รับอนุมัติสินเชื่อ ขณะที่การลดหนี้เสียนั้น เชื่อว่าในอนาคตเมื่อ AI ได้มีการเรียนรู้และมีข้อมูลมากขึ้น จะมีโอกาสช่วยลดหนี้เสียได้
ขณะที่นวัตกรรมที่ 2 ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง ธนาคารจึงนำ AI เข้ามาช่วยให้คนลงทุนได้ง่ายขึ้นผ่านช่องทางดิจิทัล หลังจากพบว่า การเติบโตทางด้านธุรกรรมบน SCB EASY ขยายตัวขึ้นราว 23% และพบว่าลูกค้าให้ความสนใจซื้อประกันในช่องทางนี้เพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า มีจำนวนครั้งของการลงทุนบนช่องทางดิจิทัลสูงกว่าช่องธรรมดา 7 เท่า ธนาคารจึงได้พัฒนาบริการ AI Advisory Chat bot บนช่องทาง SCB Connect เป็นแชตบอต ที่สามารถโต้ตอบและให้ข้อมูลการลงทุน ลูกค้าสามารถสอบถามข้อมูลกองทุนที่สนใจ ขณะที่นวัตกรรมที่ 3 การพัฒนาบริการแจ้งเตือน My Alert นำ AI เป็นผู้ช่วยดูแลพอร์ตการลงทุนรายบุคคลตลอด 24 ชั่วโมง
“ผมมองว่า AI เป็นยุทธวิธีที่จะไปสู่ความสำเร็จ แต่ไม่ใช่ทดแทนคน ธนาคารยังจำเป็นต้องมีพนักงาน มีสาขา เพราะถึงแม้ว่าการเข้าถึงบริการผ่านโลกออนไลน์ทำได้ง่าย แต่การมีความสัมพันธ์กับลูกค้า การเข้าใจและเข้าถึงความรู้สึกของลูกค้ายังต้องใช้คน และต่อไปการให้บริการโดยคนจะทำให้ลูกค้าได้รับความสำคัญจากธนาคาร”
“ท่ามกลางเศรษฐกิจไทยที่ยังมีความเสี่ยงสูง ทั้งเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวต่ำ ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ และภูมิอากาศสูงขึ้น ครัวเรือนไทยยังมีปัญหาการฟื้นตัว โดยที่ผ่านมาเราเห็นครัวเรือนที่รายได้ต่ำกว่า 20,000 บาทต่อเดือนเหนื่อยมาก และจากนี้มองว่าครัวเรือนรายได้ปานกลางที่มีรายได้ 60,000 บาทต่อเดือนจะเหนื่อยมากขึ้น การที่เราจะให้น้ำหนักไปที่การเน้นการปล่อยสินเชื่อ รายได้จากดอกเบี้ยแบบสุดซอย คงทำได้ยากมากขึ้น จึงอยากจะสร้างความสมดุลรายได้ในส่วนของค่าธรรมเนียมมากขึ้น โดยเชื่อมั่นว่า AI จะสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ และจะเป็นหัวใจหลักในการผลักดันรายได้ทางดิจิทัลของธนาคารให้เติบโตตามเป้าเป็น 13-15% ภายในปีนี้ และสู่เป้าหมาย 25% ในปี 2568 สร้างสมดุลของโครงสร้างรายได้ให้เติบโตอย่างยั่งยืน” นายกฤษณ์กล่าว.
อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่