แม้จะเพิ่งเข้าฉายเพียงไม่กี่วันสำหรับ “หลานม่า” ภาพยนตร์แฟมิลี่ดราม่า จากค่าย GDH ที่ได้แรงบันดาลใจจาก “เรื่องจริง” ที่มีในทุก “ครอบครัว” ก็สร้างปรากฏการณ์โรงหนังฉ่ำน้ำตา พร้อมด้วยบรรยากาศอบอุ่นหัวใจ ที่ทำให้เราอยากกลับไป “กอด” คนที่บ้าน
ซึ่งจากเนื้อเรื่องได้สะท้อนปัญหาภายในของครอบครัวออกมาตรงๆ กับความสัมพันธ์ของอาม่า และบรรดาลูกหลานต่างวัยที่ย่อมจะเหมือน “ลิ้นกับฟัน” และ “เกี่ยงกัน” เพื่อดูแลคนเฒ่าคนแก่ ส่อให้เห็นถึงการชำแหละความล่มสลายของครอบครัว “คนจีน” ถือคติชายเป็นใหญ่ หรืออาจจะเหมือนหลายๆ ครอบครัวเสียด้วยซ้ำที่ใช้เงิน “ซื้อเวลา” มากกว่าใช้ “กายา” ซื้อความสุข
ในเรื่อง หลานม่า แกนหลักของเรื่องมาจากการที่หลานชาย “เอ็ม” อยากจะรวยทางลัด ด้วยการรับมรดกจากอาม่า เพราะเห็นตัวอย่างของ “มุ่ย” ลูกพี่ลูกน้องที่ได้รับมรดกจากอากง เนื่องจากเป็นคนดูแลอากงจนถึงช่วงสุดท้ายของชีวิต จึงตัดสินใจอาสาดูแลพระในบ้านอย่าง “อาม่า” ที่ป่วยเป็นมะเร็ง
ตรงจุดนี้หากมองความจริงอีกด้านผ่านแง่มุมของหลานม่า จะพบว่าแนวคิด “รีบมีลูก จะได้โตทันใช้ มีลูกหลายๆ คน จะได้ช่วยเลี้ยงดูเราในวันที่แก่เฒ่า” ใช้ไม่ได้กับทุกยุคสมัย เพราะจากภาพข่าวที่เห็นกันจนชินตา ผู้สูงวัยถูกทอดทิ้งให้เผชิญชีวิตลำพังในวัยที่ควรพักผ่อน ผู้สูงวัยเฝ้ารอใครบางคนที่คาดหวังให้มาหา มาเยี่ยมเยียน ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า การมีบุตรไม่ได้รับประกันความสุขในบั้นปลายชีวิต
ดังนั้นเราจะหวังเพียงเพราะเขาเป็น “ลูก” เห็นจะไม่ได้อีกต่อไป เพราะด้วยสภาพสังคมที่เป็นอยู่ “ตัวลูกหลาน” เองก็ต้องดิ้นรน จึงทำให้คนรุ่นใหม่มีแนวคิดที่ว่าเราไม่ใช่ “เจนแบก” ความกตัญญูเหล่านั้นจึงมาในรูปแบบของการส่งเงินให้ใช้เสียมากกว่า
และนั่นเองจากทิศทางดังกล่าวเป็นไปได้ว่าหลังจากนี้อายุการทำงานของประชากรไทยอาจมีแนวโน้มที่จะมากกว่า 65 ปี เพราะจำเป็นที่จะต้องมีรายได้มากพอสำหรับการยังชีพหลังเกษียณ ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อวิวัฒนาการและเทคโนโลยีอาจทำให้อายุขัยของคนยาวนานขึ้นกว่าอดีต เพียงแต่ว่าการที่จะหางานที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายที่เสื่อมถอยลงเมื่อเวลาผ่านไปคงเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยเช่นกัน
การหางานในวันเกษียณก็คงยาก จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่ต้องเริ่มทำตั้งแต่วันนี้คือ เร่งสร้างความมั่นคงทางการเงิน สะสมเงินออมให้เพียงพอ ซึ่งแต่ละเดือนจะต้องเตรียมมากน้อยแค่ไหนสำหรับแต่ละคนนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราอยากใช้ชีวิตสุขสบายเพียงใด
ดังนั้นหลายคนอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว แต่จริงๆ แล้วถ้าเราไม่รีบวางแผนตั้งแต่เนิ่นๆ อาจมีเงินไม่พอใช้จนถึงบั้นปลายชีวิต และที่สำคัญ คือ ไม่มีเวลาเหลือให้แก้ไขความผิดพลาดได้ เพราะ “การเกษียณอายุ” หมายถึงการหยุดทำงาน ไม่มีรายได้หลักอีกต่อไป แต่เรายังจำเป็นต้องกินต้องใช้ในชีวิตประจำวันที่เหลืออยู่ แถมเมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายเสื่อมสภาพลง ค่ารักษาพยาบาลก็มากขึ้นตามไปด้วย การเตรียมความพร้อมเพื่อวัยเกษียณจึงเป็นเรื่องที่เราควรให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ เพราะจะหวังพึ่งพาลูกหลานจะพึ่งได้สักกี่ครอบครัว?
“คุณเคยนึกถึงวันที่ต้องเกษียณอายุบ้างไหม?” หากยังไม่เคย คุณต้องรีบเปลี่ยนความคิดใหม่ ก่อนจะไม่ทันกาล…
อ้างอิง Kresearch, SET investnow