แม้ว่าขณะนี้ตัวเลขหนี้ครัวเรือนต่อ GDP จะปรับลดลงตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ภาคครัวเรือนยังคงมีความเปราะบางจากภาระหนี้สูง ขณะที่ลูกหนี้บางกลุ่มยังไม่ฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด-19 และยังได้รับผลกระทบจากค่าครองชีพและดอกเบี้ยที่ทยอยปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ความสามารถในการชำระหนี้ของประชาชนแต่ละกลุ่มยังมีความแตกต่างกัน ลูกค้าบางคนผ่อนชำระได้น้อยจะต้องใช้เวลานาน ในขณะที่บางคนสามารถผ่อนชำระเป็นจำนวนเงินสูงขึ้นก็จะหมดภาระหนี้เร็วขึ้น
ดังนั้นจึงถือได้ว่า “ปัญหาหนี้ภาคครัวเรือน” นับเป็นความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่ต้องร่วมกันแก้ไขปัญหาอย่างบูรณาการ นายกฯ จึงได้มีการเร่งดำเนินการแก้ไขหนี้ทั้งระบบโดยให้ถือเป็น “วาระแห่งชาติ” รวมทั้งขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ร่วมกันแก้หนี้ทั้งระบบให้จบภายในรัฐบาลนี้
SAM ในฐานะหน่วยงานภาครัฐที่ได้รับมอบหมายให้มีส่วนช่วยลดปัญหาหนี้ครัวเรือนของประเทศ ผ่าน “โครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM” ตอบสนองนโยบายรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาเรื่องหนี้ของภาคประชาชนในระบบได้อย่างทันท่วงที
ธรัฐพร เตชะกิจขจร กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส.) หรือ SAM เปิดเผยว่า จากผลการดำเนินงานของ “โครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM” ในปี 2566 ที่ผ่านมา (ข้อมูล ณ เดือน พ.ย. 66) มีจำนวนลูกค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ ประมาณ 17,000 ราย หรือกว่า 43,000 บัญชี คิดเป็นภาระหนี้เงินต้นประมาณ 3,200 ล้านบาท และหากนับตั้งแต่เปิดโครงการฯ ในปี 2560 จนถึงปัจจุบัน พบว่ามีจำนวนลูกค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ สะสมอยู่ที่ 52,000 ราย หรือคิดเป็น 146,000 บัญชี คิดเป็นภาระหนี้เงินต้นที่เข้าร่วมโครงการฯ รวมแล้วกว่า 10,000 ล้านบาท
ดังนั้น “โครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM” จึงเดินหน้าช่วยเหลือลูกค้าที่เป็นหนี้เสียประเภทบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด และสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน และมีคุณสมบัติผ่านหลักเกณฑ์เข้าร่วม “โครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM” ด้วยอัตราดอกเบี้ยพิเศษเพียง 3-5% ต่อปี และระยะเวลาผ่อนนานสูงสุดถึง 10 ปี โดยมีทางเลือกการปรับโครงสร้างหนี้เป็น 3 ทางเลือก คือ
1. ผ่อนชำระไม่เกิน 4 ปี อัตราดอกเบี้ย 3% ต่อปี
2. ผ่อนชำระนานกว่า 4 ปี ไม่เกิน 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 4% ต่อปี
3. ผ่อนชำระนานกว่า 7 ปี ไม่เกิน 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 5% ต่อปี
สำหรับคุณสมบัติผู้สนใจสมัครเข้าร่วม “โครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM” นั้น ต้องเป็นบุคคลธรรมดาที่มีรายได้ มีอายุไม่เกิน 70 ปี มียอดหนี้รวมกันไม่เกิน 2 ล้านบาท และเป็นหนี้เสียค้างชำระมากกว่า 120 วัน และเพื่อความรวดเร็วในการพิจารณาผลการสมัคร โดยต้องเตรียมเอกสารสำคัญประกอบการสมัคร ดังนี้
1. เอกสารรายงานเครดิตบูโร
2. สำเนาบัตรประชาชน
3. สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 1 เดือน หรือหนังสือรับรองเงินเดือน (กรณีผู้มีรายได้ประจำ) / รายการเดินบัญชี (Statement) อย่างน้อย 3 เดือน หรือหนังสือรับรองรายได้ (กรณีอาชีพอิสระ)
“เบื้องต้นจะต้องมีการเสริมสร้างความรู้ทางการเงินให้แก่ประชาชน เพื่อให้การแก้ไขหนี้ทำได้สำเร็จ และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหานี้ขึ้นอีกในอนาคต อันเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับสังคมต่อไป ส่วนคนที่เป็นหนี้เองก็ไม่ควรละเลย ควรเริ่มต้นทันทีในการแก้ไขปัญหาหนี้เสียที่เผชิญอยู่ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า อย่ารอจนถูกฟ้องดำเนินคดี อายัดเงินเดือน หรือถูกยึดทรัพย์สิน ซึ่งจะสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นในอนาคต” ธรัฐพร กล่าวทิ้งท้าย
ติดตามข้อมูลหุ้นกู้ และ เงินฝากธนาคาร กับ ThairathMoney ได้ที่