หลังจาก กนง. มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2.5% ต่อปี ในการประชุมครั้งที่ 6/2566 เนื่องจากมีการประเมินว่า เศรษฐกิจไทยโดยรวมอยู่ในทิศทางฟื้นตัวต่อเนื่อง จากแรงส่งของการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวดี ซึ่งจะขยายตัวในปี 2566 2567 และ 2568 ที่ 2.4% 3.2% และ 3.1% ตามลำดับ และการลงทุนภาคเอกชนที่จะขยายตัว 3.6% ทั้งนี้หากรวมผลของโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัลเศรษฐกิจปี 2567 จะขยายตัวที่ 3.8% (จากเดิม 4.4%) โดยเศรษฐกิจได้รับแรงส่งจากการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวดีตามการใช้จ่ายในหมวดบริการ
ขณะที่การส่งออกสินค้า และภาคการท่องเที่ยว ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด ส่วนหนึ่งจากเศรษฐกิจจีน และวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์โลกที่ฟื้นตัวช้า สำหรับเศรษฐกิจในระยะถัดไปมีแนวโน้มขยายตัวสมดุลขึ้น จากภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่อง และภาคการส่งออกสินค้ากลับมาขยายตัว
ทั้งนี้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มอยู่ในกรอบเป้าหมายในปี 2566 2567 และ 2568 ที่ 1.3% 2.0% และ 1.9% ตามลำดับ ทั้งนี้หากรวมผลของโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัลอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2567 จะอยู่ 2.2% (จากเดิม 2.6%) โดยอัตราเงินเฟ้อปี 2566 มีแนวโน้มลดลงจากฐานที่สูงในปีก่อน และปัจจัยชั่วคราว โดยเฉพาะมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพด้านพลังงาน และราคาอาหารสดที่ต่ำกว่าคาด อย่างไรก็ตามต้องติดตามความเสี่ยงจากต้นทุนราคาอาหารที่อาจปรับสูงขึ้นจากปรากฏการณ์เอลนีโญ รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่อาจส่งผลให้ราคาพลังงานโลกปรับสูงขึ้น
รวมทั้งต้องจับตามาตรการปรับโครงสร้างหนี้ควรดำเนินการอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมาตรการเฉพาะจุด และแนวทางการแก้ปัญหาหนี้อย่างยั่งยืนสำหรับกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะมาตรการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม ด้านคุณภาพสินเชื่ออาจได้รับแรงกดดันจากความสมารถในการชำระหนี้ของผู้ประกอบการ SMEs และครัวเรือนบางส่วนที่ยังเปราะบางจากภาระหนี้ที่สูงขึ้น และรายได้ที่ยังฟื้นตัวช้า ขณะที่ธนาคารพาณิชย์มีระดับเงินกองทุน และเงินสำรองที่เข้มแข็ง
ส่วนภาวะการเงินโดยรวมตึงตัวขึ้นบ้าง โดยต้นทุนการกู้ยืมของภาคเอกชนโน้มสูงขึ้นตามการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่ผ่านมา แต่ยังไม่เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยสินเชื่อธุรกิจเริ่มทรงตัวสอดคล้องกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าสอดคล้องสกุลเงินภูมิภาคตามการคาดการณ์ทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ เป็นสำคัญ.