เสี่ยงสูงเข้าข่ายเบี้ยวหนี้ เอสซีบีชี้ช่องเลี่ยงลงทุนซื้อหุ้นกู้จีน 1-2 ปี

Personal Finance

Banking & Bond

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

เสี่ยงสูงเข้าข่ายเบี้ยวหนี้ เอสซีบีชี้ช่องเลี่ยงลงทุนซื้อหุ้นกู้จีน 1-2 ปี

Date Time: 13 ก.ย. 2566 08:28 น.

Summary

  • SCB CIO ชี้ตลาดอสังหาฯจีนซบเซา บริษัทเอกชนขาดสภาพคล่อง ไม่มีเงินชำระหนี้ แนะนักลงทุนไทยควรหลีกเลี่ยงซื้อหุ้นกู้มีความเสี่ยงสูงในจีน ออกไปอีก 1-2 ปี ส่วนหุ้นกู้ในประเทศไทย ตลาดส่วนใหญ่ 95% ยังลงทุนได้ มีเพียงหุ้นกู้เสี่ยงสูงในตลาดมีอยู่ 2.2 แสนล้านบาท ต้องระมัดระวัง มีความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้

Latest

ปลดล็อกเรื่องภาษี!

นายศรชัย สุเนต์ตา CFA SCB Wealth Chief Investment Officer (SCB CIO) ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นกู้ความเสี่ยงสูง (High Yield) ในเอเชียไม่นับรวมญี่ปุ่น มีสัดส่วนหุ้นกู้ของบริษัทจีนค่อนข้างมาก โดยจากข้อมูลของดัชนี Bloomberg Asia Ex-Japan USD Credit HY พบว่า มีหุ้นกู้ของบริษัทจีน ประมาณ 20% และเป็นหุ้นกู้ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ประมาณ 20% ในจำนวนนี้รวมหุ้นกู้บริษัท คันทรี การ์เด้นท์ ที่เป็นประเด็นข่าวอยู่ในปัจจุบัน ปีนี้ครบกำหนดไถ่ถอน 850 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 29,750 ล้านบาท แม้ว่าจะจ่ายเงินต้นและดอกเบี้ยสำเร็จไปแล้ว แต่ยังเหลือที่จะต้องจ่ายในปีถัดๆไปอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะช่วงปี 2567-2569 ที่มียอดหุ้นกู้ครบกำหนดชำระสูงถึง 11,152 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 390,320 ล้านบาท

ทั้งนี้ ด้วยจังหวะเศรษฐกิจจีนที่ซบเซา ทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนมีความอ่อนแอค่อนข้างมาก จากปริมาณความต้องการที่อยู่อาศัยที่ลดลง ส่วนอัตราดอกเบี้ยในตลาดโลกก็ยังอยู่ในระดับสูง จึงทำให้ผู้ออกหุ้นกู้จากจีนมีความสามารถชำระหนี้หุ้นกู้ลดลง โดยเฉพาะที่เป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งในสถานการณ์ดังกล่าว SCB CIO แนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นกู้ High Yield ของจีนออกไปก่อน นับจากนี้ไปจนถึง 1-2 ปีข้างหน้า หรือจนกว่าสถานการณ์ความต้องการที่อยู่อาศัยในจีนจะดีขึ้น และอัตราดอกเบี้ยเริ่มปรับตัวลดลง

“หุ้นกู้ High Yield ของจีน ยังมีความท้าทายมากพอสมควร ในช่วงปี 2567-2568 จำนวนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนมีสูงถึง 37,808 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 1.32 ล้านล้านบาท คิดเป็นประมาณครึ่งหนึ่งของหุ้นกู้ที่ออกมาแล้วและจะครบกำหนดชำระนับตั้งแต่ปี 2566-2586”

สำหรับตลาดหุ้นกู้ภาคเอกชนไทย มีมูลค่าประมาณ 4.4 ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นตราสารที่มีคุณภาพดี หรือหุ้นกู้ Investment Grade (IG) ประมาณ 95% ยังไม่น่ากังวล เนื่องจากผู้ออกหุ้นกู้ยังสามารถชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยได้สม่ำเสมอ ส่วนหุ้นกู้ High Yield บางบริษัทมีปัญหามากขึ้น จึงขอแนะนำผู้ลงทุน หากต้องการลงทุนในหุ้นกู้ไทย ให้ระมัดระวังการลงทุน เนื่องจากสถานการณ์ดอกเบี้ยที่แพงขึ้น ทำให้เพิ่มภาระต้นทุนให้บริษัทได้

ส่วนหุ้นกู้ Investment Grade ในประเทศ ไทย ยังสามารถเข้าไปลงทุนได้ แม้ว่าดอกเบี้ยที่แพงขึ้น ผู้ประกอบการยังสามารถรองได้ เนื่องจากมีงบดุลแข็งแรง และทนทานต่อสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ได้มากกว่าหุ้นกู้ในกลุ่มของ High Yield

นายศรชัย กล่าวอีกว่า สำหรับผู้ลงทุนที่มีประสบการณ์ลงทุน และรับความเสี่ยงอัตราแลก เปลี่ยนได้ แนะนำให้ลงทุนในตราสารหนี้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เช่น การลงทุนผ่าน Capped Floored Floater Note หรือหุ้นกู้มีอนุพันธ์แฝงช่วยให้นักลงทุนสามารถรับผลตอบแทนตามสินทรัพย์อ้างอิง ที่ออกโดยสถาบันการเงินในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นหุ้นกู้อนุพันธ์แฝงที่อ้างอิงอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดผลตอบแทนขั้นต่ำและสูงที่จะได้รับ ซึ่งให้ผลตอบแทนประมาณ 4.6% ต่อปี

นอกจากนี้ ยังสามารถเลือกลงทุนใน Callable Note ซึ่งเป็นตราสารหนี้ที่ผู้ออกตราสารสามารถไถ่ถอนก่อนกำหนดได้ ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อายุการลงทุนประมาณ 1 ปี ซึ่งมีโอกาสได้รับผลตอบแทนประมาณ 5.25% ต่อปี.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ