ห่วงคนอีสานหนี้สูงและเรื้อรัง อายุ 70 ยังปิดหนี้ไม่ได้ติดกับดักไม่รู้จบ

นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงทิศทางเศรษฐกิจการเงินไทย ในงานสัมมนาวิชาการประจำปี 2566 ซึ่งจัดโดย ธปท.สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในหัวข้อ “ขับเคลื่อนภาคเกษตรอีสานให้ “เปลี่ยนผ่าน” สู่ความยั่งยืน” ว่า จากการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ออกมาจริงในไตรมาสที่ 2 ซึ่งโตเพียง 1.8% ต่ำกว่าเป้าหมายของ ธปท.นั้น ทำให้หลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินในเดือน ก.ย.นี้ ธปท.จะปรับประมาณการเศรษฐกิจอีกครั้งหนึ่ง โดยแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลัก ยังเป็นการท่องเที่ยวที่รายได้ต่ำกว่าที่คาดไว้ เพราะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่ใช้จ่ายน้อยลง แต่ภาพรวมจำนวนนักท่องเที่ยวยังคาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 29 ล้านคน ขณะเดียวกันการใช้จ่ายภาคเอกชนที่ดีขึ้นต่อเนื่อง จากรายได้และการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยในไตรมาสที่ 2 การใช้จ่ายของภาคเอกชนไทยเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนถึง 7.8% และเฉพาะครึ่งแรกของปีนี้โตสูงสุดในรอบ 20 ปี

“สิ่งที่กังวลอยู่ยังเป็นภาคการส่งออก ที่ต้องลุ้นว่าจะปรับดีขึ้นตามเศรษฐกิจโลก ที่คาดว่าจะดีขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 4 ปีนี้ต่อเนื่องปีหน้าหรือไม่ ขณะที่อีกประเด็นหนึ่งที่เป็นห่วงมาสักระยะหนึ่งแล้ว คือการลงทุนภาคเอกชน ซึ่งเครื่องยนต์นี้เหมือนสตาร์ตไม่ค่อยติด แต่เป็นเครื่องยนต์ที่จำเป็นมากสำหรับเศรษฐกิจไทย เพราะเมื่อเราอยู่ในเศรษฐกิจที่เข้าสู่ช่วงสูงวัย แรงงานน้อยลง การทำให้เศรษฐกิจโตได้มาจากการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งทำได้จากการลงทุนเพิ่ม แต่ที่ผ่านมาการลงทุนทั้งในประเทศและจากต่างประเทศมีน้อยลง ทำให้ต้องพิจารณาว่าจะทำอย่างไร ถึงจะเพิ่มมูลค่าการลงทุนที่จะเพิ่มการขยายตัวของเศรษฐกิจ จะสร้างเสน่ห์อย่างไรให้ต่างชาติสนใจอยากลงทุน”

ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวต่อถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยในขณะนี้ว่า ดอกเบี้ยนโยบายเข้าใกล้จุดสมดุลของเศรษฐกิจไทยแล้ว เหลืออีกนิดเดียว และหากถามว่าจุดสมดุลของดอกเบี้ยอยู่ที่ตรงไหน ธปท.จะดู 3 เรื่อง คือ 1.จะต้องเป็นภาวะดอกเบี้ยที่ช่วยให้เงินเฟ้ออยู่ในกรอบเป้าหมายนโยบายการเงินที่ 1-3% ได้อย่างยั่งยืน 2.เป็นดอกเบี้ยที่ไม่กดดันเศรษฐกิจ เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้ตามศักยภาพที่ 3-4% ต่อปี ไปเรื่อยๆไม่สะดุด และ 3.อัตราดอกเบี้ยจะต้องไม่กระทบให้เกิดปัญหาด้านเสถียรภาพ เช่น การแสวงหาผลตอบแทนสูงจากการลงทุนเสี่ยง หรือการกู้หนี้ยืมสินจนเกินตัว เพราะหนึ่งในปัญหาขณะนี้ของคนไทยคือหนี้ครัวเรือนสูงมาก

สำหรับเศรษฐกิจภาคอีสาน ซึ่งส่วนใหญ่พึ่งพาภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตรรวมกว่า 30% ของมูลค่ารวม ทำให้เศรษฐกิจอีสานอาจจะไม่ขยายตัวสูงมากเท่าการขยายตัวของเศรษฐกิจในภาพรวม โดยคาดว่าปีนี้การขยายตัวภาคอีสานจะติดลบ 1-2% และปีหน้าจะขยายตัว 0.4-1.4% ต่ำกว่าภาพรวมที่โตประมาณ 3-4% เนื่องจากในปลายปี 66 ต่อเนื่องถึงปี 67 จะเกิดปรากฏการณ์เอลนินโญ ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาภัยแล้ง ขณะเดียวกันอีกปัญหาใหญ่ที่กระทบการใช้จ่ายในภาคอีสาน คือ ภาคอีสานเป็นหนี้ครัวเรือนสูงที่สุดเมื่อเทียบภาคอื่นๆ หรือประมาณ 22% ของทั้งประเทศ โดยหนี้ส่วนใหญ่เป็นหนี้เกษตรกร

“สัดส่วนหนี้ของการก่อหนี้ครัวเรือนในภาคอีสานโตเร็วที่สุด เมื่อเทียบกับภาคอื่นๆ โดย 6 ปีที่ผ่านมา หนี้เพิ่มขึ้นถึงกว่า 50% และคนอีสานมีโอกาสเป็นหนี้เรื้อรังสูง โดยพบคนอายุ 70 ปี ยังปิดหนี้ไม่ได้ กลายเป็นติดกับดักหนี้ไม่จบ นอกจากนั้นคนอีสานยังเป็นหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลสูงมากถึง 30% และอย่างที่รู้กันว่าสินเชื่อนี้มีดอกเบี้ยที่สูงมาก ทำให้เป็นไปตามหัวข้อสัมมนาครั้งนี้ว่า เราจะต้องดูแลเกษตรกรภาคอีสานให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่นเดียวกับภาควิสาหกิจขนาดกลางขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ที่ต้องดูแล เพราะหลังจากจบมาตรการสินเชื่อฟื้นฟู เพื่อช่วยเหลือในช่วงโควิดที่ผ่านมา ยอดสินเชื่อที่เอสเอ็มอีได้รับเริ่มปรับลดลง”

นายเศรษฐพุฒิ ยังได้แสดงความเป็นห่วงภัยการเงิน ภัยไซเบอร์ในภาคอีสาน เนื่องจากเป็นภาคที่มีสถิติถูกหลอกลวงมากที่สุดเมื่อเทียบกับภาคอื่นๆ ส่วนหนึ่งเกิดจากพื้นที่ภาคอีสานกว้าง และมีประชากรจำนวนมาก ขณะเดียวกัน ภาระหนี้ที่สูงทำให้มิจฉาชีพใช้เป็นหนทางในการหลอกลวง โดยเฉพาะแอปเงินกู้ปลอม และแอปแก้หนี้ที่โดนกันบ่อยมาก จึงขอเตือนว่า ธนาคารพาณิชย์จะไม่มีการส่งลิงก์ใดๆ ไปยังลูกค้าทั้งสิ้น ดังนั้น ขอให้จำไว้เลยว่า อย่ากดลิงก์ที่แนบมา ไม่ว่าช่องทางอะไรก็ตาม อย่างกดเด็ดขาด ให้จำไว้เลยว่า ธนาคารหรือหน่วยงานราชการใดๆ จะไม่ส่งลิงก์ให้กด ดังนั้นหากมีการแนบลิงก์ให้คิดว่าถูกหลอกลวง.