หุ้นแบงก์กรุงไทย พุ่ง 3.51% นักวิเคราะห์ คาด กำไรปีนี้โต 8% รับโครงการรัฐช่วยหนุน แถมแอปฯ เป๋าตัง ช่วยสร้างดาต้า หนุนการเติบโตในระยะยาว ขณะที่การตั้งสำรองลดลง คุณภาพสินทรัพย์แข็งแกร่ง
ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB มีแรงซื้อเข้ามาอย่างมากตั้งแต่เปิดการซื้อขายส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 17.70 บาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.51% ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายสูงถึง 1.1 พันล้านบาท โดยนักวิเคราะห์มองว่าหุ้น KTB กำลังได้รับประโยชน์จากการการพัฒนาแอปฯ เป๋าตัง และจะได้ประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ
โดยก่อนหน้านี้ KTB ได้ประกาศกำไรในปี 2565 ที่กำไรในปี 2565 สูงถึง 33,698 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 56% นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า สาเหตุหลักจากรายได้รวมจากการดำเนินงานที่เติบโต มาจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้นตามการเติบโตของสินเชื่อที่มุ่งเน้นคุณภาพ โดยสินเชื่อไม่รวมสินเชื่อภาครัฐ เติบโต 4.3% จากปีก่อน
และอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวขึ้น รายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิและรายได้จากการดำเนินงานอื่นๆ ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในองค์รวม ทำให้ Cost to Income ratio เท่ากับ 43.68% ลดลงจาก 45.54% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ ธนาคารและบริษัทย่อยมีการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างระมัดระวัง และติดตามภาพรวมของเงินให้สินเชื่ออย่างใกล้ชิด โดยมีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม (NPLs Ratio-Gross) ร้อยละ 3.26 ลดลงจากสิ้นปี 2564 ที่เท่ากับ 3.50%
บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน เปิดเผยว่า เรามองว่า ธนาคารกรุงไทย ได้ประโยชน์จากโครงการภาครัฐปี 2566 ที่คาดมีมากกว่าปี 2565 ซึ่งสินเชื่อภาครัฐหนึ่งในพอร์ตหลัก โดยธนาคารกรุงไทย เป็นหนึ่งในธนาคารใหญ่ที่มีคุณภาพสินทรัพย์แข็งแกร่ง และการพัฒนา Application เป๋าตัง และ Krungthai NEXT มองว่าจะได้ประโยชน์ในระยะกลางถึงยาวที่จะเห็น Data Analysis และ Cross- selling
เรามองผลการดำเนินงานของ KTB ต่อกำไรสุทธิไตรมาสที่ 4 ของปี 2565 ที่ 8.11 พันล้านบาท ใกล้กับเราและตลาดคาด โดยกำไรสุทธิเติบโต 64% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะการเพิ่มขึ้นของ NIM รับรู้กำไรจากเงินลงทุน (FVTPL) มากขึ้น และการลดลงของค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL)
ขณะที่กำไรสุทธิลดลง 4% จากไตรมาสก่อน จากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่าย ทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) และค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) สำหรับสินเชื่อลดลง 1.4% จากช่วงเดียวกันจากปีก่อน และ ลดลง 0.7% จากไตรมาสก่อน หรือคิดเป็น -1.4% จากต้นปีจากการลดลงของสินเชื่อภาครัฐ ภาพรวมกำไรสุทธิ 2566 คาดเพิ่มขึ้น 3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเพิ่มขึ้นของรายได้รวม
บล.ดาโอ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ทิศทางการเติบโตของปี 2566 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3.6 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่เราคาดว่าแนวโน้มกำไรสุทธิในไตรมาสที่ 1 จะเพิ่มขึ้นได้ทั้งจากการตั้งสำรองที่ยังอยู่ในระดับต่ำและ NIM ที่เพิ่มขึ้นได้ดี
ทั้งนี้ราคาหุ้นของ KTB ปรับตัวลดลงอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา จากแรงขายทำกำไรหลังจากที่ราคาหุ้น outperform กว่ากลุ่ม ขณะที่เรามองเป็นจังหวะเข้าซื้อเพราะขายที่ระดับต่ำเพียง P/BV 0.69 เท่า ขณะที่ราคาหุ้นยังไม่สะท้อนกำไรรายไตรมาสที่ทำได้มากกว่าช่วงก่อน COVID และยังมีโอกาสเติบโตเพิ่มจากแอปฯ เป๋าตังที่เป็นดิจิทัลแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้มากสุดในประเทศไทยราว 40 ล้านคน ทำให้เราคาดว่าจะมี upside เพิ่ม
จากแนวโน้มรายได้ค่าธรรมเนียมที่มีโอกาสเพิ่มขึ้นได้มากกว่าคาด