ช่วงนี้ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาส่งสัญญาณค่อนข้างถี่ แบงก์ชาติกำลังจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย (ในการประชุม กนง.วันที่ 10 สิงหาคม) เพื่อดูแลเงินเฟ้อที่สูงในปัจจุบัน เพื่อให้ประชาชนเตรียมตัวล่วงหน้า แต่การขึ้นดอกเบี้ยของแบงก์ชาติไทย จะขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่รุนแรงเหมือนสหรัฐฯ แม้ว่า เงินเฟ้อเดือนมิถุนายนจะพุ่งขึ้นไปสูงถึง 7.66% สูงสุดในรอบ 13 ปี แต่ก็ยังต่ำกว่า สหรัฐฯ และ อังกฤษ ที่เงินเฟ้อเดือนมิถุนายนพุ่งขึ้นไปสูงถึง 9.1% และ 9.4% สูงสุดในรอบ 40 ปี โดยเฉพาะอังกฤษคาดว่าเงินเฟ้อจะพุ่งขึ้นไปถึง 11% ปลายปีนี้ คนไทยที่ไปซื้อบ้านอยู่ที่อังกฤษเจอค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นแน่นอน
การที่ แบงก์ชาติขึ้นดอกเบี้ยช้ากว่าประเทศอื่นๆ ก็เพราะ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังช้ากว่าประเทศอื่นในภูมิภาค ยังพึ่งพาการท่องเที่ยวสูงถึง 12% ของจีดีพี จึงต้องผสมผสานนโยบายการคลังและการเงินอย่างเต็มที่ เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจไทยทยอยฟื้นตัวได้ และระบบสถาบันการเงินยังทำงานได้ตามปกติ
ดร.เศรษฐพุฒิ เปิดเผยในการพบกับสื่อมวลชนที่แบงก์ชาติว่า เป้าหมายสำคัญของแบงก์ชาติ คือ ทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่องแบบไม่สะดุด สิ่งที่ต้องทำคือ ทำให้เงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำและไม่ผันผวน เพราะ เงินเฟ้อที่สูงจะส่งผลกระทบต่อความอยู่ดีกินดีของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางผู้มีรายได้น้อย ผู้มีรายได้น้อยจะมีสัดส่วนการใช้จ่ายในหมวดอาหารและพลังงานมากกว่า 55% ของรายได้ ในขณะที่ คนมีรายได้สูงมีค่าใช้จ่ายหมวดนี้เพียง 42% และหากปล่อยให้เงินเฟ้อสูงต่อเนื่องนาน จะทำให้คนคิดว่าเงินเฟ้อจะสูงต่อไปเรื่อยๆ ทำให้ยากที่จะปรับให้ลดลง เพราะ ผู้ประกอบการจะปรับขึ้นราคาสินค้า และลูกจ้างอาจขอขึ้นค่าจ้างต่อเนื่อง
ผู้ว่าการแบงก์ชาติ อธิบายว่า การขึ้นดอกเบี้ยจะช่วยสร้างความมั่นใจกับประชาชนว่า นโยบายการเงินจะดูแลเงินเฟ้อไม่ให้สูงขึ้นต่อไปในระยะข้างหน้า ในทางกลับกัน หากเงินเฟ้อปรับสูงขึ้นไปอีก แต่เรายังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ย จะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมเงินที่แท้จริงลดลงไปอีก กลายเป็นว่า เราไปเหยียบคันเร่งให้เศรษฐกิจ และนโยบายการเงินผ่อนคลายขึ้น
(ตัวอย่างที่ชัดเจนก็คือ สหรัฐฯ ที่ นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ออกมาสารภาพว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯคาดการณ์ผิดพลาด พิมพ์เงินเพิ่ม กระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้จีดีพีพุ่งพรวด แต่เงินเฟ้อกลับพุ่งเร็วกว่าจนทำสถิติสูงสุดในรอบ 40 ปี ผลคือทำให้จีดีพีสหรัฐฯติดลบมา 2 ไตรมาสติดต่อกัน จนเข้าสู่ ภาวะเศรษฐกิจถดถอย อย่างที่เห็นในปัจจุบัน)
ผู้ว่าการแบงก์ชาติ บอกว่า การขึ้นดอกเบี้ยที่ไม่ทำให้เศรษฐกิจสะดุด ควรทำแต่เนิ่นๆเมื่อเห็นสัญญาณ เพราะการส่งผ่านนโยบายการเงินต้องใช้เวลา หากช้าเกินไปอาจทำให้เครื่องยนต์เงินเฟ้อติด แล้วต้องมาเร่งขึ้นดอกเบี้ยในภายหลัง (อย่างสหรัฐฯ) ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อเศรษฐกิจและประชาชนมากขึ้น ธปท.ได้ประเมินแล้วว่าคุ้ม ผู้ฝากเงินจะได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น ขณะที่กลุ่มลูกหนี้บางประเภทที่ได้รับดอกเบี้ยลอยตัว แม้จะต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงขึ้น แต่มีผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายครัวเรือนน้อยกว่าเงินเฟ้อ จากการประเมินของ ธปท.พบว่า ดอกเบี้ยเงินกู้ที่เพิ่มขึ้น 1% จะทำให้ครัวเรือนมีภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 0.5% เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากเงินเฟ้อ 3.6% ค่าใช้จ่ายจากเงินเฟ้อจะสูงกว่าการขึ้นดอกเบี้ยถึง 7 เท่า
เดือนมิถุนายน เงินเฟ้อไทยพุ่งขึ้นไป 7.66% ค่าใช้จ่ายก็เพิ่มขึ้นถึง 14 เท่า
ลูกหนี้เก่า ที่มีอยู่ในระบบ ดร.เศรษฐพุฒิ เปิดเผยว่า สินเชื่อรายย่อยราว 60% ได้ดอกเบี้ยคงที่ (Fixed) อยู่แล้ว เช่น สินเชื่อเช่าซื้อ บัตรเครดิต สินเชื่อบุคคล ส่วน สินเชื่อบ้าน ส่วนใหญ่ลอยตัวและกำหนดค่างวดไว้ล่วงหน้า กลุ่มนี้จะไม่ได้รับผลกระทบ ลูกหนี้ธุรกิจเกือบทั้งหมด ก็เป็นดอกเบี้ยลอยตัว มีเพียง “ลูกหนี้ใหม่” ที่จะได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ผมฟังโดยสรุปแล้ว การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งนี้มีผลกระทบน้อยมาก เมื่อเทียบกับ “เงินเฟ้อ” ที่พุ่งขึ้นไปถึง 7.66%.
“ลม เปลี่ยนทิศ”