Investree แนะ SMEs ใช้แพลตฟอร์มคราวด์ฟันดิงระดมทุน แทนการขอสินเชื่อ รับมือเศรษฐกิจผันผวน เผยอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมปรับขึ้นแล้ว
เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 65 นางสาวณัทสุดา พุกกะณะสุต ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเวสทรี (ไทยแลนด์) จำกัด หรือ Investree กล่าวว่า ภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจที่มีความผันผวนสูง ทั้งจากปัญหาสงครามรัสเซีย-ยูเครน ราคาพลังงาน ต้นทุนสินค้าที่สูงขึ้น เงินเฟ้อ และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น รวมถึงความไม่แน่นอนในสินทรัพย์ดิจิทัล การลงทุนในหุ้นกู้คราวด์ฟันดิง (Crowdfunding) แม้จะมีความเสี่ยง แต่เป็นความเสี่ยงที่จับต้องได้ ถือเป็นการลงทุนในธุรกิจจริง และมีโอกาสที่นักลงทุนจะได้ผลตอบแทนที่เติบโตไปพร้อมกับธุรกิจ
ทั้งนี้ การลงทุนในหุ้นกู้คราวด์ฟันดิง เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง เพราะมีโอกาสได้ผลตอบแทนล่าช้า และมีความเสี่ยงที่จะมีเงินสูญเช่นกัน ซึ่งนักลงทุนที่สนใจลงทุนในสินทรัพย์นี้ควรจัดสรรเงินลงทุนในสินทรัพย์นี้ในวงเงินที่จำกัด และกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในหุ้นกู้ที่ออกโดยหลากหลายบริษัท เพื่อป้องกันการกระจุกตัว
สำหรับภาพรวมตลาดการปล่อยสินเชื่อเพื่อ SMEs นั้น ปัจจุบันไทยมีบริษัทจดทะเบียนกว่า 3 ล้านบริษัท 99% หรือประมาณ 2.9 ล้านเป็น SMEs และมากกว่า 2 ล้านบริษัทนั้นเป็นบริษัทขนาดเล็ก มีปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ถึงแม้ในตลาดจะมีการแข่งขันการปล่อยสินเชื่อสูง แต่บริษัทขนาดเล็กยังคงเจอปัญหาเข้าไม่ถึงเงินกู้เหมือนเดิม จากเงื่อนไขการปล่อยสินเชื่อของธนาคารกลายเป็นข้อจำกัด
เช่น ประวัติชำระหนี้ไม่ดี ไม่ยอมชำระหนี้ มีหนี้สินติดค้าง หรือชำระเงินล่าช้า การระดมทุนหุ้นกู้คราวด์ฟันดิงจึงเป็นโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้กับ SMEs และแน่นอนว่าเราก็เห็นโอกาสเติบโตจากตลาดนี้เช่นกัน รวมไปถึงโอกาสจากนักลงทุนไทยที่ก็เปิดกว้างในการเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น ซึ่งการลงทุนในหุ้นกู้ คราวด์ฟันดิง ก็ยังผันผวนน้อยกว่าสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ และให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ SMEs
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมปรับขึ้นแล้ว
นางสาวณัทสุดา กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดตราสารหนี้ไทย Yield curve หรืออัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ ได้ปรับตัวตามสหรัฐฯ ไปแล้ว อัตราดอกเบี้ยอิงกับสหรัฐฯ เพราะใช้อัตราดอกเบี้ยอ้างอิง หรือ Thai Baht FIX ถ้าสหรัฐฯ มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของไทยก็จะปรับขึ้นไปด้วย
"อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลไทย อายุ 10 ปี YTD อยู่ที่ 2.94% ซึ่งเทียบกับเดือนม.ค. 65 อยู่ที่ 1.99% จะเห็นได้ว่าอัตราดอกเบี้ยขึ้นมา 1% นี่จะเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมหลายคนที่ไปขอรีไฟแนนซ์บ้านแล้วธนาคารถึงปล่อยลอยตัว เพราะตอนนี้อัตราดอกเบี้ยได้ปรับขึ้นไปแล้ว"
ทั้งนี้ ในเดือนม.ค.65 เราจะพบว่าอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมในตลาดอยู่ที่ 50 สตางค์ แต่ปัจจุบันอยู่ที่ 10 บาทขึ้นมาแล้ว 50 สตางค์ ซึ่งอัตราดอกเบี้ยนโยบายของแบงก์ชาตินั้นไม่ได้มีสาระสำคัญกับตลาด แต่จะส่งผลสำคัญต่อดอกเบี้ยเงินฝาก แต่ในเชิงเอกชนในการกู้ยืมนั้นต้นทุนได้เพิ่มขึ้นแล้ว ส่งผลให้เอกชนหลายแห่งออกตราสารหนี้กันเพื่อล็อกอัตราผลตอบแทน
คราวด์ฟันดิงคือโอกาสของ SME
สำหรับมูลค่าธุรกิจคราวด์ฟันดิงในประเทศไทยปี 2564 ที่ผ่านมา มีมูลค่ารวมประมาณ 2,700 ล้านบาท ซึ่งเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ และน้อยมากเมื่อเทียบกับช่องว่างในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SME จึงแทบไม่มีความเสี่ยงต่อระบบตลาดเงิน-ตลาดทุนโดยรวม
ขณะที่ธุรกิจของอินเวสทรี เติบโตมากกว่า 300% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านี้ แสดงให้เห็นถึงความสนใจของ SME และนักลงทุนที่มีต่อธุรกิจนี้ ซึ่งเราเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ และการเติบโตของธุรกิจนี้ก็ขึ้นอยู่กับการสนับสนุนของภาครัฐเช่นเดียวกัน ซึ่งความเห็นนี้ก็เป็นความเห็นที่สะท้อนมาจากมุมมองของตัวแทนผู้ประกอบการจากประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ที่ร่วมในการประชุม APEC SFOM เช่นกัน
นางสาวณัทสุดา กล่าวว่า ตัวเองได้มีโอกาสเข้าร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโส ด้านการคลังเอเปค หรือ APEC Senior Finance Officials’ Meeting : APEC SFOM เมื่อเร็วๆ นี้ ในฐานะตัวแทนภาคเอกชนที่ให้บริการคราวด์ฟันดิง แพลตฟอร์ม เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับการพัฒนาระบบนิเวศของตลาดทุนเพื่อส่งเสริมการเงินเพื่อความยั่งยืน โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้ เพื่อสนับสนุนระดมทุนในตลาดทุน ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตทั่วโลก และเป็นโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการรายย่อย
ทั้งนี้ จากรายงานของ International Finance Corporate หรือ IFC ภายใต้ธนาคารโลก ปี 2017 พบว่าผู้ประกอบการ MSMEs ไทยเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้น้อย ช่องว่างในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนคิดเป็นประมาณ 10 % ของ GDP ที่มีมูลค่าสูงถึง 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท)
ดังนั้นการส่งเสริมให้ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุนเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้ผู้ประกอบการสามารถพัฒนานวัตกรรมและนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในการดำเนินธุรกิจได้ ซึ่งปัจจุบันการเข้าถึงบริการทางการเงินดิจิทัลกำลังเติบโตสูงทั่วโลก โดยในเอเชียแปซิฟิกมีสัดส่วน 8% ของตลาดโลก ยังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก
นางสาวณัทสุดา กล่าวอีกว่า ตามคำแนะนำของ IFC ภาครัฐควรเข้าช่วยสนับสนุนนวัตกรรมการเงินดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริม การเข้าถึงบริการทางการเงินที่ทั่วถึง Financial Inclusion รวมถึงการสร้างฐานข้อมูลเครดิตกลาง ยิ่งขยายฐานมากขึ้นเท่าไร
โอกาสที่ผู้ประกอบการจะเข้าถึงแหล่งเงินทุนยิ่งมีมากขึ้น สิ่งสำคัญที่สุดคือความไว้วางใจของผู้ที่ต้องการระดมทุนและผู้ลงทุน ที่ภาครัฐเข้ามาช่วยสร้างความเชื่อมั่นที่มาเลเซีย ภาครัฐเข้าไปร่วมลงทุนกับแพลตฟอร์ม ช่วยประชาสัมพันธ์ สร้างความไว้วางใจผู้ให้บริการ ซึ่งช่วยลดอุปสรรค และเพิ่มโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น
โดยข้อเสนอแนะที่ IFC เคยแนะนำให้หน่วยงานรัฐปฏิบัติเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เช่น ภาครัฐควรเข้าไปกำกับดูแลธุรกิจสินเชื่อแฟคตอริงให้มีประสิทธิภาพ เพิ่มการเข้าถึงฐานข้อมูลเครดิตของผู้ให้บริการมากขึ้น รวมถึงควรพัฒนาให้หลักทรัพย์ค้ำประกันให้มีการเปลี่ยนมือได้ง่ายขึ้น ซึ่งแม้ว่า IFC จะให้คำแนะนำดังกล่าวไปตั้งแต่ปี 2017 และภาครัฐได้นำไปปฏิบัติบ้างแล้ว แต่เรายังพัฒนาต่อยอดได้อีก ยกตัวอย่าง
เช่น ปัจจุบันประเทศไทยอยู่ระหว่างการปรับกฎหมาย National Credit Bureau เพื่ออนุญาตให้คราวด์ฟันดิง แพลตฟอร์มสามารถเป็นสมาชิกได้ แต่ขณะเดียวกันคราวด์ฟันดิง แพลตฟอร์มนั้นๆ อาจต้องมีทุนจดทะเบียนสูงถึง 50 ล้านบาทถึงจะเป็นสมาชิก NCB ได้ ซึ่งเป็นระดับทุนจดทะเบียนที่เป็นอุปสรรคสำหรับ non-bank ที่จะเข้าเป็นสมาชิก อย่างไรก็ตามประเทศไทยได้พัฒนาระบบการเงินไทยมาระดับหนึ่งแล้ว และยังมีช่องว่างที่จะพัฒนาต่อยอดได้อีก
"เราหวังว่าผู้ประกอบการใหม่เช่นเราจะมีโอกาสร่วมในการประชุมเชิงนโยบายของภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับเรา มีโอกาสได้ออกความเห็น และร่วมพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้อง ถึงเวลาที่ต้องส่งเสริมแพลตฟอร์มบริการทางการเงินอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุนมากขึ้น"