แบงก์ชาติ กังวลโควิดระบาดรอบ 3 ยังหนัก พร้อมปรับเกณฑ์ "คลินิกแก้หนี้" ขยายความช่วยเหลือลูกหนี้ถึงอายุ 70 ปี
เมื่อวันที่ 7 ก.ค. 64 นางธัญญนิตย์ นิยมการ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับสถาบันการเงิน 2 ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์โควิดระลอกที่ 3 ยังคงน่าเป็นห่วง และส่งผลกระทบต่อคนในวงกว้าง ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ จึงเห็นชอบให้ขยายมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ต่อไปอีกจนถึง ธ.ค. 64 โดยลูกหนี้สามารถชำระหนี้ตามความสามารถหรือจ่ายเท่าที่ไหว ซึ่งจะได้รับส่วนลดดอกเบี้ย 1-2 % ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่ชำระเข้ามาในช่วงเวลามาตรการ แบ่งออกเป็น 2 แบบ ดังนี้
- รายที่จ่ายค่างวดเฉลี่ยตั้งแต่ร้อยละ 80 ขึ้นไป จะได้รับส่วนลดดอกเบี้ย 2%
- รายที่จ่ายค่างวดเฉลี่ยตั้งแต่ร้อยละ 40 แต่ไม่ถึงร้อยละ 80 จะได้รับส่วนลดดอกเบี้ย 1%
โดยส่วนลดดอกเบี้ยที่คำนวณได้จะถูกนำไปตัดเงินต้นในเดือน ม.ค. 2565 ซึ่งจะทำให้หมดหนี้เร็วขึ้น
ทั้งนี้ มาตรการช่วยเหลือในช่วง 6 เดือนข้างหน้านี้ จะมีผลอัตโนมัติกับลูกหนี้ทุกรายและลูกหนี้ใหม่ในโครงการ โดยไม่ต้องลงทะเบียน โดยที่ลูกหนี้ต้องชำระหนี้ต่อเนื่อง สำหรับลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจทำให้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ในช่วงนี้ ท่านสามารถขอผ่อนผันการชำระหนี้ได้ตามเงื่อนไขของโครงการ สำหรับท่านที่อยู่ในกลุ่มนี้ขอให้ติดต่อโครงการเพื่อสอบถามรายละเอียด ซึ่งผลการพิจารณาผ่อนผันขึ้นกับดุลพินิจของโครงการ
ขณะเดียวกัน คณะกรรมการฯ เห็นชอบให้ผ่อนปรนหลักเกณฑ์การสมัครเข้าโครงการ 2 ประการ คือ 1. เกณฑ์ด้านอายุ จากเดิมไม่เกิน 65 ปี เป็นไม่เกิน 70 ปี (เมื่อรวมระยะเวลาการปรับโครงสร้างหนี้) และ 2. ปรับอัตราดอกเบี้ยจากเดิมร้อยละ 4-7 เป็นอัตราเดียวที่ร้อยละ 5 ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยของอัตราดอกเบี้ยในโครงการ การปรับหลักเกณฑ์ดังกล่าวจะช่วยขยายความช่วยเหลือให้ลูกหนี้และช่วยให้การดำเนินการเร็วขึ้น โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 64 เป็นต้นไป
นางธัญญนิตย์ กล่าวอีกว่า ผลมาตรการช่วยเหลือในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา (ต.ค.63 - มิ.ย.64) ผลโดยรวมถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจมาก ลูกหนี้ของคลินิกแก้หนี้ 99% ยังสามารถชำระค่างวดได้ ส่วนที่พักชำระหนี้โดยสิ้นเชิงมีเพียง 1% นอกจากนี้ เพื่อรองรับผลกระทบจากโควิดระลอกที่ 3 จึงได้ขยายมาตรการช่วยเหลือออกไปจนถึงเดือนธันวาคม 2564 รวมทั้งผ่อนปรนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ได้เพิ่มมากขึ้น
สำหรับ ผลของมาตรการยา 2 สูตร เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ของโครงการคลินิกแก้หนี้ในช่วงเดือนตุลาคม 2563 ถึงมิถุนายน 2564 สูตรจ่ายเท่าที่ไหว ผ่อนปรนและจูงใจให้ลูกหนี้ชำระหนี้ตามความสามารถ ยิ่งชำระมาก จะได้ส่วนลดดอกเบี้ยมากขึ้น ผลของยาสูตรจ่ายเท่าที่ไหวแสดงให้เห็นว่า การได้รับส่วนลดดอกเบี้ยเป็นแรงจูงใจที่สำคัญ ทำให้ลูกหนี้ยังคงพยายามชำระหนี้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ในภาพรวมลูกหนี้ร้อยละ 99 ยังคงชำระค่างวดได้ โดยลูกหนี้จำนวน 14,044 ราย ชำระหนี้เฉลี่ยร้อยละ 80 ขึ้นไป ของค่างวด ได้ส่วนลดดอกเบี้ย 2% และจำนวน 2,467 ราย ชำระหนี้เฉลี่ยร้อยละ 40-79.99 ของค่างวด ได้ส่วนลดดอกเบี้ย 1% ส่วนจำนวน 1,520 ราย ชำระค่าหนี้น้อยกว่าร้อยละ 40 ของค่างวด จะไม่ได้รับส่วนลดดอกเบี้ย สำหรับลูกหนี้ที่ใช้ยา "สูตรจ่ายไม่ไหว" ที่ไม่ชำระค่างวดเลยมีเพียง 192 รายเท่านั้น
โดยจุดเด่นของมาตรการยาสองสูตรที่ดำเนินการมาแล้ว ก็คือเป็นมาตรการที่ยึดความต้องการของลูกหนี้เป็นศูนย์กลาง (debtor’s choice) ทำให้สามารถช่วยเหลือและตอบโจทย์ลูกหนี้ได้ตรงกับความต้องการควบคู่กับการใช้แรงจูงใจและกลไกตลาดในการแยกคนสองกลุ่มออกจากกัน ทำให้คลินิกแก้หนี้ลดภาระงานที่จะต้องประเมินลูกหนี้เป็นรายบุคคลไปมาก หากสถาบันการเงินนำกรอบความช่วยเหลือยาสองสูตรไปใช้ จะเป็นประโยชน์ในการบริหารจัดการช่วยเหลือลูกหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย