ว่าด้วยเรื่อง...ลดดอกเบี้ย ลดหนี้คนไทย

Personal Finance

Banking & Bond

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

ว่าด้วยเรื่อง...ลดดอกเบี้ย ลดหนี้คนไทย

Date Time: 3 ก.ค. 2564 05:01 น.

Summary

  • ปัญหาหนี้ประชาชนคนไทยกลายเป็นข่าวใหญ่ตั้งแต่เดือน มิ.ย. เมื่อนายกฯ ประยุทธ์ออกมาแสดงความเป็นห่วง หลังทราบข้อมูลล่าสุดว่าคนไทยมีหนี้รวมกันเกินร้อยล้านบัญชีแล้วและเป็นหนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย

Latest

ปลดล็อกเรื่องภาษี!


ดร.ฐิติมา ชูเชิด ฝ่ายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย

ปัญหาหนี้ประชาชนคนไทยกลายเป็นข่าวใหญ่ตั้งแต่เดือน มิ.ย. เมื่อนายกฯ ประยุทธ์ออกมาแสดงความเป็นห่วง หลังทราบข้อมูลล่าสุดว่าคนไทยมีหนี้รวมกันเกินร้อยล้านบัญชีแล้วและเป็นหนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย จึงสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งหาแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้ทั้งระบบในระยะสั้นและยาว ซึ่งปัญหาหนี้คนไทยสูงถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่สั่งสมมานาน หลายฝ่ายพยายามหาทางช่วยแก้มาเป็นระยะ ซึ่งรวบรวมมา ดังนี้

เริ่มจาก แบงก์ชาติในช่วงปี 2563 ได้ทยอยลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงจาก 1.25% มาอยู่ที่ 0.5% ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และลดอัตราเงินนำส่งกองทุนฟื้นฟูเพื่อการพัฒนาสถาบันการเงินของสถาบันการเงินจาก 0.46% เหลือ 0.23% ของฐานเงินฝากเป็นเวลา 2 ปี ทำให้ธนาคารพาณิชย์ปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้อ้างอิงตามภายในช่วงครึ่งแรกของปี โดยเฉพาะดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยอ้างอิง (MRR) ที่ปรับลดลงถึง 0.77% จากช่วงต้นปี 63 ให้สถาบันการเงินลดเพดานดอกเบี้ยบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลภายใต้การกำกับของ ธปท. มีผล 1 ส.ค.63 ครอบคลุมสินเชื่อบัตรเครดิต (จาก 18% เป็น 16%) สินเชื่อบุคคล (จาก 28% เหลือ 25%) สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ (จาก 28% เหลือ 24%) รวมถึงสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ภายใต้การกำกับ (จาก 36% เหลือ 33%)

ออกแนวทางการคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้และลำดับการตัดชำระหนี้ของสถาบันการเงินที่เป็นธรรมขึ้น สำหรับสินเชื่อที่ผ่อนชำระเป็นงวดและสินเชื่อหมุนเวียน คือ (1) ให้คิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้บน “เงินต้นเฉพาะงวดที่ผิดนัดชำระจริง” (เดิมคิดจากเงินต้นคงค้างทั้งหมด) เริ่ม 1 พ.ค. 63 (2) ให้คิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระที่ “อัตราดอกเบี้ยตามสัญญาบวกได้ไม่เกิน 3%” มีผล 1 เม.ย. 64 และ (3) กำหนดลำดับการตัดชำระหนี้ให้ “ตัดเงินต้นที่ค้างชำระนานสุดก่อน” มีผล 1 ก.ค. 64 รวมถึงให้สถาบันการเงินช่วยปรับโครงสร้างหนี้ให้ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ต่อเนื่อง

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาผลักดันให้มีการออกพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 เพื่อลดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ที่ถูกฟ้องดำเนินคดีในชั้นศาลจนสิ้นสุดคดีมีผล 11 เม.ย.64 โดยปรับลดดอกเบี้ยที่ไม่ได้ตกลงทำสัญญากันไว้ก่อน (จาก 7.5% เหลือ 3%) ลดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ (จาก 7.5% เหลือ 5%) ไม่คิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ย และให้คิดดอกเบี้ยเฉพาะเงินต้นงวดที่ผิดนัด (จากเดิมคิดบนเงินต้นคงค้างทั้งหมด) ช่วยลดภาระดอกเบี้ยจ่ายที่สูงไป ลดหนี้เสียและการฟ้องคดี ซึ่งสอดคล้องกับประกาศ ธปท.ก่อนหน้านี้

ด้าน กระทรวงการคลังมีนโยบายให้ ธ.ออมสินขยายบทบาทธุรกิจนอนแบงก์และสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ เพื่อสร้างการแข่งขันเป็นผู้นำในตลาดช่วยลดดอกเบี้ยลดลงมา ซึ่ง ธ.ออมสินออกมาประกาศในเดือน มี.ค. 64 ทำธุรกิจจำนำทะเบียนรถกับบริษัท เงินสดทันใจ จำกัด และคิดดอกเบี้ยไม่เกิน 18% ทำให้ธุรกิจคู่แข่งในตลาดทยอยลดดอกเบี้ยลงมาใกล้ๆ กัน (จากเดิมคิดดอกเบี้ย 24-28%) เพื่อรักษาฐานลูกค้า

ส่วน กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาก็ออกมาตรการช่วยเหลือผู้กู้ที่ยังไม่ถูกดำเนินคดีภายในสิ้นปีนี้ เช่น (1) ลดดอกเบี้ยเหลือ 0.01% ให้ผู้กู้ที่ไม่เคยผิดนัด (2) ลดเบี้ยปรับ 100% ให้ผู้กู้ที่ชําระหนี้พร้อมปิดบัญชี (3) ลดเบี้ยปรับ 80% ให้ผู้กู้ที่ชำระหนี้ทั้งหมด และชะลอฟ้องผู้ที่ผิดนัดชำระหนี้ในปี 2563-64 ถึง 31 มี.ค.65

คนไทยจะหลุดพ้นกับดักหนี้ในสถานการณ์โควิดที่มาซ้ำเติมได้ผู้นำประเทศต้องยกเป็นวาระแห่งชาติเช่นนี้ ตั้งคณะกรรมการดูแลจริงจังและให้ทุกฝ่ายร่วมแก้ปัญหาหนี้ครบวงจร เป็นช่องทางให้หลายหน่วยงานที่พยายามเดินหน้ามาแล้วเชื่อมภาพกัน หาทางแก้ปัญหานี้เพิ่มจากการลดดอกเบี้ยให้เป็นรูปธรรมได้ค่ะ.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ