เวลธ์ติ แอปพลิเคชันกู้เงิน เร่งเจาะตลาดสินเชื่อรายย่อย หลังถือใบอนุญาตพิโกไฟแนนซ์ ให้วงเงินกู้สูงสุด 50,000 บาท ดอกเบี้ย 15-36% ต่อปี พร้อมสู้ศึกเงินกู้นอกระบบ ช่วยคนมีรายได้น้อยเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เป็นธรรม
นายธวัชชัย อิงบุญมีสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ก่อตั้ง บริษัท เวลธิเทคฟิน จำกัด กล่าวว่า เราเป็นผู้ให้บริการสินเชื่ออเนกประสงค์ผ่านแอปพลิเคชัน WEALTHI หรือ เวลธ์ติ ซึ่งที่ได้รับใบอนุญาตแก้ปัญหาสินเชื่อรายย่อย หรือ พิโกไฟแนนซ์ จากกระทรวงการคลัง เมื่อเดือน พ.ย. 60 ที่ผ่านมา
โดยเรามีเป้าหมายให้ความช่วยเหลือผู้คนในวงกว้าง โดยเฉพาะประชาชนทั่วไปที่เข้าไม่ถึงแหล่งทุนให้สามารถเข้ามาอยู่ในระบบได้ หลังจากที่เริ่มเปิดให้บริการจนถึงปัจจุบัน พบว่าแอปพลิเคชัน WEALTHI ได้รับการตอบรับที่ดีเกินคาด ล่าสุด มีผู้ใช้บริการแล้วมากกว่า 10,000 ราย มียอดสินเชื่อหมุนเวียนมากกว่า 300 ล้านบาทต่อปี
สำหรับสินเชื่อของ WEALTHI นั้น จะให้วงเงินสูงสุด 50,000 บาท อัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก (EFFECTIVE RATE) 15-36% ต่อปี มีขั้นตอนการทำงานรวดเร็วอนุมัติเบื้องต้นใน 5 นาที และรอรับเงินภายใน 48 ชั่วโมง สำหรับคุณสมบัติของผู้กู้นั้นต้องเป็นผู้ประกอบอาชีพ ทั้งแบบมีรายได้ประจำและอาชีพอิสระ เป็นบุคคลสัญชาติไทย มีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป เมื่อรวมอายุของผู้กู้กับระยะเวลาที่ชำระเงินกู้ ต้องไม่เกิน 65 ปี
นอกจากนี้ ผู้กู้ต้องมีถิ่นที่อยู่แน่นอน มีสถานที่ประกอบอาชีพ สามารถติดต่อได้ มีสมาร์ทโฟน (ระบบ Android และ iOS) และต้องมีบัญชีเฟซบุ๊ก ส่วนเอกสารประกอบการกู้มีเพียงสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน เอกสารแสดงรายได้ในการประกอบอาชีพ สมุดบัญชีเงินฝาก และสำเนาหน้าสมุดบัญชีที่จะใช้ในการรับเงิน
สำหรับจุดเด่นของ WEALTHI ที่แตกต่างจากผู้ให้บริการทั่วไป คือการพัฒนาระบบการให้คะแนนเครดิตโดยใช้ข้อมูลทางเลือก (Alternative Data) เช่น ข้อมูลบนสมาร์ทโฟน มาประเมินความเสี่ยงเพื่อให้บริการแก่ผู้ที่ต้องการความสะดวก และลดความยุ่งยากในการสมัครขอสินเชื่อ ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และลดระยะเวลาในการสมัคร อนุมัติรวดเร็ว ด้วยการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูล โดยดำเนินการตามหลักการที่ถูกต้องตามกฎหมายในกระบวนการแก้ปัญหาให้กับผู้ไม่มีประวัติทางด้านการเงินที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบ
ทั้งนี้ จากข้อมูลที่ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ได้ทำการสำรวจไว้ พบว่ามีคนไทยประมาณ 14 ล้านคนที่ลงทะเบียนในโครงการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย คิดเป็นจำนวน 20% ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาและความก้าวหน้าของประเทศไทย ดังนั้นหากมีช่องทางช่วยเหลือให้ประชาชนกลุ่มนี้เข้าถึงแหล่งเงินทุนก็จะเป็นการช่วยแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำได้อีกทางหนึ่ง