นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบบทวิเคราะห์รายงานการเงินแผ่นดินประจำปีงบประมาณ 2563 ของกรมบัญชีกลาง โดยระบุว่า รัฐต้องให้ความสำคัญกับมาตรการและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ เพื่อจัดหาแหล่งรายได้ใหม่ ขยายฐานภาษีให้ครอบคลุม โดยนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการที่ราชพัสดุและการจัดเก็บรายได้จากที่ราชพัสดุ รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของรัฐวิสาหกิจให้สามารถนำส่งส่วนแบ่งกำไรและเงินปันผลให้มากยิ่งขึ้น
ขณะที่ด้านค่าใช้จ่ายต้องควบคุมรายจ่ายประจำ โดยเฉพาะด้านบุคลากร เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายจ่ายลงทุนต่อวงเงินงบประมาณ การจัดสรรงบประมาณควรคำนึงถึงความจำเป็น เร่งด่วน คุ้มค่า ความพร้อมในการดำเนินงานและขีดความสามารถการใช้จ่ายงบประมาณ เน้นให้ภาคประชาชน ภาคเอกชนเข้ามาแบ่งเบาภาระ ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2563 รัฐบาลมีรายได้รวม 2.56 ล้านล้านบาท ลดลงจากปีงบประมาณ 2562 จำนวน 111,833 ล้านบาท คิดเป็น 4.18% ขณะที่มีรายจ่ายรวม 3.50 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2562 จำนวน 481,585.98 ล้านบาท คิดเป็น 15.94%
ขณะเดียวกัน ครม.ได้รับทราบรายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ 2563 ของกระทรวงการคลัง โดยระบุว่า มีรายได้รวมลดลง 8.95% จากปีก่อนหน้า เนื่องจากการระบาดของโควิด-19 ทำให้ระบบเศรษฐกิจเกิดการหดตัว กระทบการจัดเก็บภาษีจากผู้ประกอบการและภาษีจากสินค้าและบริการลดลง รัฐบาลควรให้ความสำคัญเกี่ยวกับมาตรการด้านการจัดเก็บรายได้ ซึ่งจะต้องมีการปฏิรูปการจัดเก็บรายได้โดยการนำสินทรัพย์ของภาครัฐมาสร้างรายได้ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการที่ราชพัสดุ
ขณะที่งบแสดงฐานะการเงินและงบการเงินของรัฐบาล หน่วยงานรัฐ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) 8,422 หน่วยงาน คิดเป็น 99.80% ของหน่วยงานทั้งหมด สิ้นสุด 30 ก.ย.2563 มีรายได้ทั้งสิ้น 7.08 ล้านล้านบาท ลดลงจากปีงบประมาณ 2562 คิดเป็น 11.87% มีค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 7.11 ล้านล้านบาท ลดลง 6.55%