ทีเอ็มบีและธนชาต กระตุ้นคนไทยปลดล็อก “ชีวิตหนี้” แนะควรเริ่มจากแนวคิดไปสู่การปรับพฤติกรรม

Personal Finance

Banking & Bond

Content Partnership

Content Partnership

Tag

ทีเอ็มบีและธนชาต กระตุ้นคนไทยปลดล็อก “ชีวิตหนี้” แนะควรเริ่มจากแนวคิดไปสู่การปรับพฤติกรรม

Date Time: 1 ต.ค. 2563 09:27 น.
Content Partnership

Summary

  • แม้คนไทยจะถูกสอนว่าไม่ควรเป็น “หนี้” แต่ในความเป็นจริงนั้น พบว่ามีคนไทยส่วนใหญ่เป็นหนี้กันมากขึ้น และเป็นหนี้เร็วขึ้น จนกลายเป็นปัญหาพื้นฐานใหญ่ของประเทศ โดยข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย

แม้คนไทยจะถูกสอนว่าไม่ควรเป็น “หนี้” แต่ในความเป็นจริงนั้น พบว่ามีคนไทยส่วนใหญ่เป็นหนี้กันมากขึ้น และเป็นหนี้เร็วขึ้น จนกลายเป็นปัญหาพื้นฐานใหญ่ของประเทศ โดยข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ณ สิ้นเดือนกันยายน 2562 พบคนไทยประมาณ 21 ล้านคนเป็นหนี้ โดยเฉพาะกลุ่มคนในวัยเริ่มทำงานช่วงอายุระหว่าง 25-35 ปี ขณะที่ข้อมูลจากศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics ระบุว่า ในปี 2561 หนี้ของคนไทยส่วนใหญ่มีแนวโน้มมาจากการบริโภค (Personal Consumption) เป็นหนี้จากบัตรเครดิต และหนี้สินเชื่อบุคคล อีกทั้งหนี้นั้นเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงอายุ 27-30 ปี และยังมีหนี้สูงคงที่ตลอดช่วงอายุการทำงาน ส่งผลให้แม้จะเกษียณแล้ว หลายคนยังคงมีหนี้ติดตัวอยู่

การเป็น “หนี้” ไม่ใช่ความล้มเหลวของชีวิตและไม่ใช่ความผิด แต่หากจำเป็นต้องสร้างหนี้ ควรต้องเลือกว่าจะเป็นหนี้แบบไหน ที่สำคัญต้องเป็นหนี้แบบมีวัน “จบ” ซึ่งจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกอย่างรุนแรง ทำให้สังคมไทยตระหนักถึงความเปราะบางเรื่องงานและเรื่องเงินมากขึ้น โดยเฉพาะคนที่มีภาระหนี้ “ทีเอ็มบีและธนชาต” ผู้นำแนวคิด Make REAL Change ชวนคนไทยลุกขึ้นมาหาทางแก้หนี้ผ่านการหาความรู้เพิ่มเติมผ่านกิจกรรม “FIN TALK by TMB l Thanachart ปลดล็อกชีวิตหนี้… สู่วิถีการเงินใหม่” ด้วยคำแนะนำครบทั้ง 3 มิติ

มิติแรก ปลดล็อกแนวคิดยามเป็นหนี้ กับนักจิตบำบัด “ดุจดาว วัฒนปกรณ์” แนะนำว่า การปลดล็อกแนวคิดยามเป็นหนี้ต้องเริ่มจากการจัดระเบียบความคิดใหม่แล้วหาทางออก โดยต้องเปิดใจเรียนรู้และยอมรับความช่วยเหลือจากคนอื่น ซึ่งเวลาที่คนเราเผชิญกับปัญหา หรือหนี้ก้อนโต ประตูบานแรกที่เลือกมักจะหนีความจริงไม่ยอมรับ และสุดท้ายก็ลงโทษตัวเองถือว่าเป็นทางที่อันตรายมาก แต่ชีวิตจริงมีจุดเปลี่ยนได้เสมอ หากปรับจิตใจให้ยอมรับความจริงได้ ยอมรับการเป็นหนี้ จุดนี้จะเป็นสัญญาณที่ดีทำให้เกิดสติในการจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น นั่นหมายความว่า การปลดล็อกต้องเริ่มจากจิต (Mental) การมีสติเป็นอันดับแรก แล้วค่อยเดินไปหาความรู้ (Knowledge) เพื่อให้มีหนทางจัดการ (Action) กับปัญหา ซึ่งทั้งสามขั้นตอนนี้ควรยอมรับความช่วยเหลือจากคนอื่น ไม่ว่าจะเป็น เพื่อนที่ไว้ใจ คนในครอบครัว หรือผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน

“ปี 2563 เป็นปีแห่งความน่ากลัว ทั้งจากโรคโควิด-19 และผลกระทบจากเศรษฐกิจ คนมีความเสี่ยงต่อการถูกเลิกจ้าง ยอดคนฆ่าตัวตายมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงล็อกดาวน์ สะท้อนให้เห็นว่าปัญหาเศรษฐกิจกระทบกับจิตใจและการตัดสินใจของใครหลายคน ซึ่งภาระหนี้สินเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนมีสภาวะจิตใจย่ำแย่ ท้อแท้ แต่ความล้มเหลวทางการเงิน ไม่ใช่ความล้มเหลวของชีวิต เมื่อเกิดวิกฤติเราต้องยอมรับสภาวะความเป็นจริงให้ได้ ต้องยอมที่จะมองให้ทะลุตัวเงิน แล้วตั้งหลักให้ได้”

มิติที่สอง ปลดล็อกพฤติกรรมการแก้หนี้แบบผิดๆ พร้อมด้วยเคล็ดลับเพื่อกลับมาตั้งหลักใหม่ โดยมันนี่โค้ชคนดัง “จักรพงษ์ เมษพันธุ์” ระบุว่า การปลดล็อกชีวิตหนี้ต้องหันกลับมาหาจุดตั้งหลักด้วยการปรับและเปลี่ยนพฤติกรรม เริ่มต้นก้าวแรกด้วยการเดินไปคุยกับคู่สัญญา หรือธนาคารเจ้าหนี้ เพื่อประเมินสถานการณ์และหาทางออกร่วมกัน ซึ่งคนไทยจำนวนไม่น้อยมีพฤติกรรมแก้หนี้อย่างไม่ถูกต้อง เช่น หนีเจ้าหนี้ ไม่กล้าขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญพยายามแก้ปัญหาเองอยู่ในวงจรเดิม ใช้วิธีการรีไฟแนนซ์ ซึ่งไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาหากไม่มีการปรับพฤติกรรม เพราะเป็นแค่การเพิ่มสภาพคล่องให้มีเงินหมุนเวียนเท่านั้น แต่ภาระหนี้ไม่ได้หมดไป ทำให้ติดกับดักการเป็นหนี้แบบไม่มีวันจบ

“สิ่งสำคัญคือ ต้องปรับพฤติกรรมเพื่อกลับมาตั้งหลักใหม่ ด้วยการลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ ถามตัวเองว่าเราทำอะไรได้บ้างเพื่อเพิ่มรายได้ ให้นำเอาทักษะของตัวเองมาใช้หารายได้ ส่วนการลดรายจ่ายมองว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายกว่าเพิ่มรายได้ โดยเน้นจัดการกับรายจ่ายที่เป็นหนี้ ต้องหาแนวทางลดค่าใช้จ่ายหนี้ตรงนี้ในแต่ละเดือน และเลือกใช้เวลา นั่นคือใช้เวลาในการโฟกัสการแก้ปัญหา ไม่ต้องรอเวลาในการแก้หนี้ รวมทั้งใช้เวลาในการหันหน้าคุยกับธนาคารเพื่อเจรจา หรือขอคำปรึกษา หาจุดเริ่มต้นเล็กๆ แล้ว เราจะมีกำลังใจในการแก้หนี้ก้อนใหญ่ได้นำไปสู่โอกาสใหม่ในชีวิต

ปิดท้ายสิ่งสำคัญในมิติที่สาม นั่นคือ การปลดล็อกชีวิตหนี้ด้วยความรู้ทางการเงินกับธนาคารที่จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันและมอบโซลูชันทางการเงินให้กับคนไทย โดย “ปิติ ตัณฑเกษม” ซีอีโอ ทีเอ็มบี ชี้ให้เห็นว่า หนี้ครัวเรือนไทยเติบโตเร็วมาก และส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่เกิดจากการบริโภค สะท้อนจากหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล มีสัดส่วนสูงถึง 34% ในขณะที่ต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ และอังกฤษ มีสัดส่วนไม่ถึง 5% ซึ่งการเป็นหนี้ของคนไทยอาจจะเกิดจากความคิดและพฤติกรรมการใช้จ่ายที่เกินตัว ประกอบกับธนาคารมีการออกผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อสร้างความสะดวกในการใช้จ่ายและช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงเงินกู้ได้ง่าย มีโอกาสเป็นหนี้ได้ตั้งแต่เดินออกจากรั้วมหาวิทยาลัย ขณะที่คนส่วนใหญ่ยังขาดความรู้และการวางแผนด้านการเงิน ดังนั้น เมื่อธนาคารเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างปัญหา ก็ต้องเป็นส่วนหนึ่งของการร่วมแก้ปัญหา โดยบทบาทของธนาคารต้องไม่ใช่เป็นเจ้าหนี้ที่คอยทวงหนี้ แต่ต้องเป็นคลินิกช่วยรักษา ช่วยวินิจฉัยโรคและช่วยจ่ายยาให้กับคนไข้ที่มีปัญหาหนี้

ทีเอ็มบีและธนชาต ให้ความสำคัญกับการสร้างความรู้ให้กับลูกค้า ให้รู้จักและเข้าใจเครื่องมือทางการเงินอย่างถูกต้อง เพื่อสามารถเลือกใช้ประเภทสินเชื่อได้อย่างเหมาะสมและถูกวัตถุประสงค์ เพราะสินเชื่อแต่ละประเภทมีภาระดอกเบี้ยที่แตกต่างกัน และธนาคารยังเน้นการให้คำปรึกษาผ่านผู้เชี่ยวชาญ (Debt Advisory) พร้อมนำเสนอทางเลือกต่างๆ เช่น การทำ Debt Consolidation เพื่อให้ลูกค้าสามารถรวมภาระหนี้ที่มีจากหลายๆ บัญชีสินเชื่อให้เหลือหนี้เพียงบัญชีเดียว โดยลูกค้าจะได้รับประโยชน์จากการขยายระยะเวลาในการผ่อนชำระตามสินเชื่อมีหลักประกัน ทำให้ช่วยปรับลดภาระการผ่อนโดยรวมลง ซึ่งปัจจุบัน ทีเอ็มบี และ ธนชาต มีโซลูชันที่ลูกค้าสามารถนำมาใช้ตามคอนเซปต์ การรวมหนี้ ได้แก่ สินเชื่อทีเอ็มบี บ้านแลกเงิน และสินเชื่อธนชาต DRIVE รถแลกเงิน ที่จะช่วยลดดอกเบี้ย ลดค่างวด และเสริมสภาพคล่องให้กับลูกค้าได้

“โควิด-19 ทำให้คนที่เป็นหนี้และสถาบันการเงินตระหนักถึงปัญหาที่ซ่อนไว้ ซึ่งถูกเร่งออกมาชัดเจนเร็วขึ้น ทำให้เห็นว่างานที่มั่นคงก็ไม่แน่นอน คนที่มีหนี้อยู่แล้วก็เป็นหนี้หนักขึ้น คนที่ยังไม่เคยเป็นหนี้และไม่เคยวางแผนเพื่อจะเป็นหนี้ ก็กลับเป็นหนี้ครั้งแรก แต่ไม่อยากให้สิ้นหวัง ทุกอย่างมีทางออกเสมอ จุดเริ่มต้นที่ดีคือ การเข้าไปปรึกษาธนาคาร และสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเองผ่านความรู้เรื่องการวางแผนทางการเงิน ทีเอ็มบีและธนชาต ต้องการที่จะปลดล็อกบทบาทของธนาคาร เพื่อที่จะช่วยสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น (Financial Well-being) ให้คนไทยทั้งประเทศ เราอยากเป็นเหมือนคู่ชีวิตของลูกค้า เมื่อมาอยู่ด้วยกันแล้วชีวิตของลูกค้าจะต้องดีขึ้นในระยะยาว มีสุขภาพการเงินที่ดีไปด้วยกัน นี่คือความหมายของความยั่งยืน หรือ การเป็น Sustainable Banking” นายปิติ กล่าวทิ้งท้าย


Author

Content Partnership

Content Partnership