พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า สิ่งสำคัญเวลานี้รัฐบาลกำลังแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งหากร่วมกันทั้ง 2 ทาง ทั้งภาครัฐและ เอกชน โดยหากร่วมมือใช้จ่ายเงินต่างประเทศให้มากขึ้น จะช่วยบรรเทาเงินบาทแข็งค่า ซึ่งวันนี้ก็อ่อนตัวลงเล็กน้อย ซึ่งจะต้องใช้ระยะเวลา
วันเดียวกัน นายเกรียงไกร เธียรนุกูล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 4 ธ.ค.นี้ จะมีการ หารือร่วมกัน 3 ฝ่าย ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ธนาคาร พาณิชย์ และตัวแทนกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆในสังกัด ส.อ.ท. เพื่อหามาตรการหรือแนวทางที่จะดูแลอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาท ไม่ให้แข็งค่าจนกระทบต่อขีดความสามารถในการส่งออกในระยะสั้นและระยะยาว ที่จะมีผลต่อการส่งออกไปถึงปี 2563 โดยก่อนหน้านี้สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และ ส.อ.ท.ได้หารือกับตัวแทน ธปท.มาแล้วครั้งหนึ่ง โดยในวันที่ 4 ธ.ค. จะเป็นการหารือลงลึกในรายละเอียดอีกรอบหนึ่ง
แม้ว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% มาอยู่ที่ 1.25% ต่อปีและมีมาตรการดูแลค่าเงินบาทเมื่อวันที่ 8 พ.ย. แต่ก็ช่วยให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงในระยะสั้นๆ ซึ่งปัจจุบันค่าเงินบาทยังคงกลับมาแข็งค่าต่อเนื่อง โดยพบว่า 11 เดือนแรกของปีนี้ เฉลี่ยค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าสูงสุดในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งประเด็นสำคัญหนึ่งที่มีผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่ามาจากการเกินดุลทางการค้า
“ล่าสุด ภาคเอกชนก็ได้เห็นว่า รัฐบาลได้เรียกร้องให้เอกชนมีการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศให้มากขึ้นในช่วงที่เงินบาทแข็งค่า เพื่อที่จะมีส่วนผ่อนคลายการแข็งค่าของเงินบาท ซึ่ง ส.อ.ท.ก็เห็นด้วยและต้องการให้รัฐบาลมีมาตรการเพื่อเร่งส่งเสริมให้เอกชนมีการลงทุน”
ขณะเดียวกัน ก็จะต้องมีมาตรการเพิ่มเติมในการดูแลค่าเงินบาทให้เข้มข้นมากขึ้น เพราะหากไม่มีมาตรการที่เพียงพอ อาจจะมีผลกระทบต่อเนื่องต่อการส่งออกในปี 2563.