นายจาตุรงค์ จันทรังษ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับสถาบันการเงิน 1 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึง แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ในช่วงที่ผ่านมาว่า มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และจากภาวะเศรษฐกิจไทยที่มีความไม่แน่นอน ทั้งจากผลของเศรษฐกิจโลกที่ซบเซา สงครามการค้า และภาวะภัยธรรมชาติในประเทศที่ผ่านมากำลังส่งผลกระทบต่อรายได้ของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) รวมทั้งส่งผลต่อความสามารถในการผ่อนส่งหนี้ของภาคธุรกิจ
ในภาวะเช่นนี้ การเร่งรัดให้สถาบันการเงินเข้าไปดูแลลูกหนี้ให้ใกล้ชิดมากขึ้น และมีการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้ธุรกิจ โดยเฉพาะลูกหนี้เอสเอ็มอี ตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นเอ็นพีแอล เพียงแค่เห็นภาวะรายได้ที่เปลี่ยนแปลงไปทางลบ หรือเริ่มผิดนัดชำระหนี้ จะช่วยลดโอกาสการเพิ่มขึ้นของหนี้เอ็นพีแอลในอนาคต หรือหยุดการเพิ่มขึ้นของหนี้เอ็นพีแอลได้ ประกอบกับในวันที่ 1 ม.ค.63 นี้ สถาบันการเงินจะเริ่มใช้ หลักเกณฑ์และแนวนโยบายการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ตามมาตรฐานรายงานทางการเงินฉบับที่ 9 (TFRS 9) ซึ่งหากปฏิบัติตามเกณฑ์ดังกล่าวช่วยให้สถาบันการเงินสามารถดำเนินการแก้หนี้ และปรับการจัดชั้นลูกหนี้ได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้น รวมทั้งลดการสำรองหนี้ลงได้ด้วย
โดย TFRS 9 จัดลูกหนี้เป็น 3 ขั้น คือ ขั้นที่ 1 ที่ปกติ ขั้นที่ 2 หนี้ที่ขาดส่ง 1 เดือน แต่ไม่เกิน 3 เดือน หรือมีความเสี่ยงในการผ่อนชำระเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และขั้นที่ 3 หนี้เอ็นพีแอลขาดส่ง 3 เดือนขึ้นไป ทั้งนี้ หากสถาบันการเงินมีการปรับโครงสร้างหนี้ที่ยังไม่เป็นเอ็นพีแอล ไม่ถือว่าเป็นหนี้ที่มีปัญหา และไม่ต้องรายงานเครดิตบูโร หรือการปรับปรุงโครงสร้างลูกหนี้หนี้ใน stage 2 ตามเกณฑ์นี้ หากลูกหนี้หลังปรับโครงสร้างหนี้แล้ว สามารถชำระหนี้ติดต่อกัน 3 เดือน หรือ 3 งวด ธปท.ให้ปรับขึ้นเป็นขั้นที่ 1 ได้.