กนง.ไม่มีใครแทรกแซงได้
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การชี้แจงของนายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กับนักวิเคราะห์ว่า จะใช้มาตรการระยะสั้นเพื่อแก้ไขปัญหาเงินทุนต่างชาติไหลเข้า แทนการลดดอกเบี้ยนโยบายนั้นถือเป็นการ บริหารงานที่มีความอิสระของ ธปท.เอง โดยรัฐบาลและกระทรวงการคลังจะไม่เข้าไปแทรกแซงการทำงานและการตัดสินใจของ ธปท.แน่นอน แม้ช่วงที่ผ่านมาค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว จากก่อนหน้านี้อยู่ที่ 40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ปัจจุบันอยู่ที่ 30-31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ก็ตาม “สถานการณ์เศรษฐกิจโลกขณะนี้ บริหารงานได้ไม่ง่ายนัก ผู้ว่าการ ธปท.น่าจะมีข้อมูลที่ดีกว่ารัฐบาล ในการเลือกใช้มาตรการระยะสั้นในการสกัดกั้นการเก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจดีกว่าลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ปัจจุบันคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 1.75%”
นายสมคิดกล่าวว่า ที่ผ่านมา ธปท.และกระทรวงการคลังหารือเรื่องการขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาโดยตลอด แต่การตัดสินใจขั้นสุดท้าย อยู่ที่การประชุมของ กนง.ซึ่งไม่มีใครสามารถแทรกแซงได้ ดังนั้นการตัดสินที่จะคงดอกเบี้ยไว้ที่เดิม เนื่องมาจากสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทย อยู่ตรงกลางของความปั่นป่วนเศรษฐกิจโลก จึงต้องเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่าง 3 ประเทศให้ดีที่สุดคือ จีน สหรัฐฯ และญี่ปุ่น ซึ่งหากมีการลดอัตราดอกเบี้ยลงช่วงนี้ สหรัฐฯจะโฟกัสไทยว่าเอาเปรียบสหรัฐฯ และ ถูกตอบโต้การค้าได้ เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยมีดุลชำระเงินเกินดุล หมายความว่า ไทยได้เปรียบการค้าการบริการและการโอนเงินจากต่างประเทศ “หาก ธปท.ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจถูกมองว่าไทยเอาเปรียบสหรัฐฯ ซึ่งไทยเกินดุลการค้าสหรัฐฯ อยู่แล้วและการทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงเท่ากับเอาเปรียบสหรัฐฯ เหมือนที่สหรัฐฯมองว่าจีนเอาเปรียบด้านอัตราแลกเปลี่ยนสหรัฐฯ นั่นเอง ทำให้ในอนาคตไทยอาจถูกกีดกันทางการค้าจากสหรัฐฯเพิ่มเติมได้”
นายสมคิดกล่าวว่า ยอมรับว่าอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าทำให้ตน และธปท.ถูกตำหนิจากนักลงทุน แต่ต้องยอมรับ เพราะเงินบาทแข็งค่าเกิดจากเสถียรภาพเศรษฐกิจไทยที่มีความมั่นคงสูง นักลงทุนต่างชาติจึงนำเงินมาลงทุนในตลาดหุ้น และเก็งกำไรอัตราดอกเบี้ยมากขึ้น ถือเป็นเรื่องปกติแต่มั่นใจว่า ธปท.จะมีมาตรการที่ดีในการดูแลเรื่องนี้.