นายประภาศ คงเอียด ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า เงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจปี 2561 จำนวน 45 แห่ง วงเงิน 445,191 ล้านบาท ได้เบิกจ่ายลงทุนสะสมตั้งแต่เดือน ม.ค.ถึงเดือน ต.ค. มียอดรวม 339,279 ล้านบาท หรือ 85% ของแผนการเบิกจ่ายลงทุนสะสม จึงต้องเร่งรัดให้เป็นไปตามเป้าหมาย 95% ของเงินลงทุนทั้งหมด หรือเฉลี่ยเดือนละ 50,000 ล้านบาท รวม 2 เดือน (พ.ย.-ธ.ค.) มีเงินทุน 100,000 ล้านบาท ภาย ในสิ้นปีนี้ เพราะเงินลงทุนผ่านโครงการขนาดใหญ่ของรัฐวิสาหกิจเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ เช่น การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ต้องเร่งรัดสัญญาการลงทุนสร้างรถไฟทางคู่ให้เสร็จปีนี้ ขณะที่รัฐวิสาหกิจที่มีผลงานเบิกจ่ายต่ำกว่าเป้าหมายต้องหาทางเร่งรัดการลงทุน โดยกระทรวงการคลัง และกระทรวงคมนาคมจะเข้าไปติดตามอย่างใกล้ชิด
ดังนั้น เพื่อเป็นการกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี จึงได้มอบหมายให้รัฐวิสาหกิจปีปฏิทินเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนในไตรมาส 4 ปีนี้ หรือช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค. และรัฐวิสาหกิจปีงบประมาณให้เร่งรัดเบิกจ่ายงบลงทุนที่ไม่เป็นไปตามแผนงานในปี 2561 ที่จะต้องผูกพันเบิกจ่ายในปี 2562 พร้อมปรับปรุงแผนและ ประมาณการเบิกจ่ายงบลงทุนให้สะท้อนกับความสามารถในการเบิกจ่ายได้ตามจริง และให้เร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนให้ไม่น้อยกว่า 95%
นายสมคิด กล่าวว่า ได้มอบนโยบายกรณีที่งบลงทุนของรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่มีโครงการที่น่าลงทุนหรือน่าสนใจก็ขอให้รัฐวิสาหกิจคิดเอาไว้ล่วงหน้า เช่น บริษัทไปรษณีย์ไทย ซึ่งมีศักยภาพสูงมาก ก็ควรหามาตรการมารองรับการขยายตัวของตลาดอี-คอมเมิร์ซ เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดและสามารถแข่งขันได้ โดยเฉพาะตลาด CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) ที่มีกำลังเติบโต ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีรายได้เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ รัฐบาลต้องการเห็นเศรษฐกิจไทยในปีนี้เติบโตเกินกว่า 4% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ระบุว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 ขยายตัว 3.3% แต่เนื่องจากไตรมาสแรกเศรษฐกิจขยายตัวได้ดี โดยมีอัตราการเติบโต 4.8% และไตรมาส 2 เติบโต 4.6% หากไตรมาส 4 ยังขยายตัวดี ประกอบการส่งออกในเดือน ต.ค.ยังขยายตัวดี จึงคาดว่าปีนี้เศรษฐกิจเติบโตเกิน 4% แน่นอน.