นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตั้งแต่กลางปี 2560 ที่ผ่านมา ธปท.ได้เริ่ม โครงการปฏิรูปและผ่อนคลายกฎเกณฑ์การควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน เพื่อช่วยลดขั้นตอน ลดต้นทุน และลดระยะเวลาในการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศของภาคเอกชนสะดวกรวดเร็วมากขึ้น ที่สำคัญ ธปท.ยังอนุญาตให้บริษัทและกลุ่มบริษัทที่ผ่านคุณสมบัติตามที่กำหนด (Qualified Company) ทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศกับธนาคารพาณิชย์ได้เอง โดยไม่ต้องแสดงเอกสารประกอบ โดย ธปท.จะมีการตรวจสอบการทำธุรกรรมย้อนหลัง และมีความเชื่อใจว่าเอกชนที่รับได้อนุญาตดังกล่าวจะไม่ใช้ประโยชน์ในการเก็งกำไรค่าเงินบาท
ทั้งนี้ ล่าสุดมีบริษัทสนใจขออนุญาตแล้วทั้งบริษัทไทยและต่างประเทศกว่า 20 บริษัท และ ธปท.ได้ให้ความเห็นชอบแล้ว 5 บริษัท และศูนย์บริหารเงิน 1 ราย อย่างไรก็ตาม ธปท.ได้รับข้อมูลว่ายังมีอีกหลายบริษัทที่ต้องการเข้าร่วมโครงการ แต่ต้องการให้มีการผ่อนคลายเกณฑ์ในครั้งนี้ ธปท.จึงได้เห็นชอบให้ผ่อนคลายคุณสมบัติของบริษัทและกลุ่มบริษัทในส่วนของปริมาณ และการทำธุรกรรม นอกจากนั้น ยังขยายเวลาออกไปอีก 6 เดือน จนถึงวันที่ 16 พ.ย.นี้ นอกจากนั้น ยังมีการผ่อนคลายเกณฑ์ที่ประกาศเพิ่มเติมอีก โดยอยู่ระหว่างรอความเห็นชอบจากกระทรวงคลัง
ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวต่อว่า นอกเหนือจากการปรับปรุงกฎเกณฑ์การ แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเพื่อที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับเอกชนไทยแล้ว ในวันที่ 1 มิ.ย.นี้ ธปท.ได้ร่วมกับภาคเอกชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมปรับปรุงกฎเกณฑ์ ธปท.ที่อาจจะเป็นปัญหาและอุปสรรคต่อการทำธุรกรรมสถาบันการเงินในฐานดิจิทัล หรือดิจิทัล แบงกิ้ง โดยปรับปรุงเกณฑ์ทั้งการบริการจัดการ การบริหารความเสี่ยง และการลงทุนของธนาคารพาณิชย์ในธุรกิจดิจิทัล รวมทั้งเตรียมปรับปรุงเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ให้กับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) เนื่องจากอาจจะไม่สอดคล้องหรือเท่าทันกับการประกอบธุรกิจเอสเอ็มอีในยุคใหม่ และมีเอกสารที่ต้องเตรียมจำนวนมาก หากมีการปรับปรุงในเกณฑ์เหล่านี้ให้ทันสมัยมากขึ้น อาจจะช่วยลดต้นทุนทั้งในส่วนของเอสเอ็มอี และต้นทุนของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งส่งผลดีให้เอสเอ็มอีได้รับสินเชื่อได้ง่ายขึ้นและดอกเบี้ยถูกลง.