นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความ ในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่...) พ.ศ.... (มาตรการเพื่อสนับสนุนการควบรวมธนาคารพาณิชย์ไทย) มีสาระสำคัญ เป็นการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะและอากรแสตมป์ ให้แก่ผู้ถือหุ้นของธนาคารพาณิชย์ หรือธนาคารพาณิชย์ที่ควบเข้ากัน หรือโอนกิจการทั้งหมด หรือบางส่วนให้แก่กัน และให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้มีการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอน และค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์ หรืออาคารชุดตามประมวลกฎหมายที่ดินและกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด ค่าธรรมเนียมการโอนทะเบียน รถตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก และค่าธรรมเนียมการ จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเครื่องจักรตามกฎหมายว่าด้วยเครื่องจักร ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการควบรวมธนาคารพาณิชย์ไทย มีผลจนถึงวันที่ 31 ธ.ค.2565 ซึ่งกระทรวงการคลังคาดว่าจะสูญเสียรายได้ 600-1,000 ล้านบาทต่อกรณีที่มีการควบรวม แต่จะจูงใจให้มีการควบรวมธนาคารพาณิชย์ของไทย ให้แข็งแกร่ง รองรับการแข่งขันในภูมิภาคอาเซียน และจะทำให้มีการขยายกิจกรรมทางเศรษฐกิจ 3,000-7,000 ล้านบาท
“การส่งเสริมให้ธนาคารมีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อให้มีเงินทุนเพียงพอที่จะแข่งขัน เช่น ธนาคารของมาเลเซียมีขนาดสินทรัพย์ 4 ล้านล้านบาท ส่วนธนาคารพาณิชย์ของไทยที่มีขนาดใหญ่สุด มีสินทรัพย์ที่ 3 ล้านล้านบาท”
ขณะเดียวกัน ครม.เห็นชอบแนวทางส่งเสริมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) ซึ่งจะมีพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการได้อย่างสะดวกปลอดภัยด้วย.