กระทรวงการคลังพร้อมจ่ายแลกเหรียญกษาปณ์หมุนเวียน ร.10 วันที่ 6 เม.ย. เป็นวันแรก พร้อมธนาคารพาณิชย์ ให้ประชาชนแลกเป็นที่ระลึกและเก็บสะสมจำนวน 100 ล้านเหรียญ ตลอดทั้งปีจะผลิตอีก 2.3 ล้านเหรียญเพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของประชาชน ขณะที่เหรียญ ร.9 จะหยุดการผลิตและทยอยเก็บคืนภายใน 4-5 ปี เพื่อป้องกันการขาดสภาพคล่อง
กระทรวงการคลังนำเหรียญกษาปณ์ในรัชกาลที่ 10 ออกมาใช้หมุนเวียนแล้ว ทั้งนี้ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เปิดเผยเมื่อ 28 มี.ค. ว่า กรมธนารักษ์ได้รับพระราชทานพระราชานุญาต ให้จัดทำเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อใช้ในระบบเศรษฐกิจของประเทศ รวม 9 ชนิด ราคา ประกอบด้วย เหรียญชนิดราคา 10 บาท 5 บาท 2 บาท 1 บาท 50 สตางค์ 25 สตางค์ 10 สตางค์ 5 สตางค์ และ 1 สตางค์ พร้อมทั้งได้รับพระราชทานพระราชานุญาต ให้นำออกจ่ายแลกในระบบเศรษฐกิจตั้งแต่วันที่ 6 เม.ย.2561
นายอภิศักดิ์กล่าวว่า รูปแบบลักษณะของเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนทั้ง 9 ชนิดราคา กรมธนารักษ์ ออกแบบเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 10 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ด้านหน้าเหรียญทุกชนิดราคา กลางเหรียญมีพระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผินพระพักตร์ทางเบื้องขวาฉลอง พระองค์เต็มยศทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ฉลองพระองค์ครุยมหาจักรีบรมราชวงศ์ ทรงเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์และสายสร้อยจุลจอมเกล้า เบื้องขวามีข้อความว่า “มหาวชิราลงกรณ” เบื้องซ้ายมีข้อความว่า “รัชกาลที่ 10” ด้านหลังเหรียญทุกชนิดราคา กลางเหรียญมีอักษรพระปรมาภิไธย วปร ภายใต้พระมหาพิชัยมงกุฎ เบื้องบนมีข้อความว่า “ประเทศไทย” และคำว่า “พ.ศ.” และเลขของปี พ.ศ. ที่จัดทำเหรียญ เบื้องล่างมีข้อความบอกชนิดราคาของเหรียญ สำหรับเหรียญชนิดราคา 5 บาท และ 50 สตางค์ ลวดลายด้านหน้าและด้านหลังของเหรียญวงในเป็นรูปสิบเหลี่ยม
“เหรียญกษาปณ์หมุนเวียนสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะใช้ควบคู่กับเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถ บพิตร โดยมีการทยอยผลิตออกมาเรื่อยๆ ไม่จำกัดคาดว่าจะสามารถทดแทนเหรียญรุ่นเดิมได้หมดภายใน 4-5 ปี ระหว่างนี้ประชาชนและนักสะสมอาจเริ่มทยอยเก็บเหรียญรุ่นเก่าไว้แล้ว ส่วนขนาดของเหรียญทุกประเภทยังคงเท่ากับเหรียญรุ่นเดิม น้ำหนักเท่าเดิม มั่นใจว่าการใช้เหรียญในระบบกับตู้หยอดเหรียญต่างๆ จะไม่มีปัญหา”
นายอภิศักดิ์กล่าวด้วยว่า สำหรับเหรียญรุ่นใหม่ ผลิต 9 ชนิดราคาเหมือนเดิม แต่ใช้ในท้องตลาด เพียง 6 ชนิดราคา อีก 3 ชนิดราคาที่เหลือคือ เหรียญ 10 สตางค์ 5 สตางค์ และ 1 สตางค์ จะใช้กับหน่วยราชการในการรับจ่ายเพื่อใช้ปิดบัญชีเท่านั้น ไม่เปิดให้จ่ายแลกแต่อย่างใด ในอนาคตเมื่อมีการใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ในการใช้จ่ายเงินในท้องตลาดมากขึ้น เช่น อินเตอร์เน็ตแบงกิ้งและพร้อมเพย์ เป็นต้น จะทำให้ความต้องการใช้เหรียญประเภทดังกล่าวลดลงหากใช้ได้เต็มรูปแบบ มั่นใจว่าจะช่วยลดต้นทุนได้ประมาณ 10,000 ล้านบาท จากการลดการผลิตธนบัตรเหรียญและการจ้างคนนับ เป็นต้น
ด้านนายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมธนารักษ์ กล่าวว่า กรมธนารักษ์พร้อมนำออกใช้และจ่ายแลกเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประกอบด้วย เหรียญชนิดราคา 10 บาท 5 บาท 2 บาท 1 บาท 50 สตางค์ และ 25 สตางค์ ตั้งแต่วันที่ 6 เม.ย. เป็นต้นไป เวลา 08.30-15.30 น. ณ หน่วยรับและจ่ายแลกเหรียญกษาปณ์ กรมธนารักษ์ สำนักบริหารเงินตรา และศูนย์บริหารจัดการเหรียญกษาปณ์ของกรมธนารักษ์ 6 แห่ง ได้แก่จังหวัดขอนแก่น อุบลราชธานี เชียงใหม่ นครสวรรค์ สงขลา สุราษฎร์ธานี ประชาชนที่ไม่สะดวกในการเดินทางสามารถแลกเหรียญฯได้ที่ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่ง ตั้งแต่วันที่ 6 เม.ย. 2561 เช่นเดียวกัน ปีนี้กรมธนารักษ์จะผลิตเหรียญ ร. 10 ทุกชนิดราคาร่วมกัน 2,345 ล้านเหรียญ วันแรกที่เปิดจ่ายแลกเหรียญ ได้เตรียมไว้ประมาณ 100 ล้านเหรียญ หลังจากนั้นจะทยอยนำเข้าสู่ระบบทุกวันตามความต้องการของประชาชน ส่วนเหรียญกษาปณ์หมุนเวียน ร. 9 กรมธนารักษ์จะหยุดการผลิตและทยอยเก็บเหรียญคืนภายในระยะเวลา 4-5 ปี เพื่อป้องกันเหรียญขาดตลาด ปัจจุบันเหรียญกษาปณ์หมุนเวียน ร. 9 ทุกชนิดราคามีอยู่ประมาณ 60,000 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 30,000 ล้านบาท