“อภิศักดิ์” ลั่นเก็บภาษีแวต 7% และภาษีหัก ณ ที่จ่าย 15% สกัดสกุลเงินดิจิทัลและไอซีโอ สอดคล้องกับกลุ่มจี 20 และนายแบงก์ใหญ่ทั่วโลก หวั่นลูกค้าแบงก์เล่นพนันและฟอกเงิน “สมคิด” มั่นใจสิ้นเดือน มี.ค.นี้ กฎหมายมีผลบังคับใช้แน่นอน ด้านกรุงไทยปิดบัญชีสกุลเงินดิจิทัลทุกราย
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า หลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) 2 ฉบับในการกำกับดูแลและควบคุมการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเคอเรนซี หรือการสร้างเงินสกุลดิจิทัลและการระดมทุนผ่านสกุลเงินดิจิทัลที่เรียกว่าไอซีโอ (Initial Coin Offering : ICO) ได้แก่ ร่าง พ.ร.ก. การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล และร่าง พ.ร.ก. ร่างพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (การจัดเก็บภาษีจากทรัพย์สินดิจิทัล) คาดว่านายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีจะพิจารณาเสร็จสิ้นภายในเดือน มี.ค.นี้ โดยรัฐบาลพร้อมประกาศใช้ได้ทันที
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง กล่าวว่าการยกร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับดังกล่าวเพื่อเปิดกว้างให้ประเทศไทยสามารถรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและอนาคตได้ โดยไม่ได้ปฏิเสธหรือปิดกั้น เพราะที่ผ่านมา ไทยให้การสนับสนุนเรื่องการลงทุนในรูปแบบต่างๆ ทั้งตลาดหลักทรัพย์และตราสารหนี้ รวมถึงการฝากเงินกับสถาบันการเงิน แต่เงินสกุลดิจิทัลและไอซีโอมีลักษณะเหมือนการเล่นพนันมากกว่าการลงทุน จึงจำเป็นต้องป้องกันไม่ให้เงินดำ (เงินไม่ถูกต้องตามกฎหมาย) อาศัยช่องทางนี้ ฟอกเงินเพื่อให้เป็นเงินที่ถูกต้องตามกฎหมาย
“เมื่อเช้าวานนี้ (14 มี.ค.) ได้พบกับผู้บริหารระดับสูงของธนาคารฮ่องกงแอนด์เซียงไฮ้และก่อนหน้านี้มีผู้บริหารระดับสูงของธนาคารขนาดใหญ่ระดับโลกหลายแห่งเข้าพบมีความเห็นตรงกันว่า ไม่สนับสนุนเงินสกุลดิจิทัลเพราะไม่ต้องการให้ลูกค้าไปเล่นเก็งกำไร ขณะที่การประชุมกลุ่ม ประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ หรือจี 20 ล่าสุดก็มีสุ้มเสียง ไม่สนับสนุนสกุลเงินดิจิทัลเช่นกัน”
ดังนั้น การเสนอกฎหมายทั้ง 2 ฉบับเพื่อให้รัฐบาลสามารถควบคุมสกุลเงินดิทัลและไอซีโอ โดยร่าง พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลจะเป็นกฎหมายที่กำหนดเรื่องการขึ้นทะเบียน การออกใบอนุญาตให้ผู้ประกอบการ เช่น ตัวแทน ดีลเลอร์ โบรกเกอร์ รวมถึงการยืนยันตัวตน (KYC) รวมถึงการกำหนดบทลงโทษทั้งจำและปรับ นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังมีหน้าที่ต้องรายงานชื่อผู้ซื้อ ผู้ขาย และจำนวนเงินทั้งหมดให้แก่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) โดย พ.ร.ก.ดังกล่าว ได้มอบหมายสำนักงานคณะกรรมการหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นผู้กำกับดูแลซึ่งภายหลังจากที่กฎหมายมีผลบังคับใช้แล้ว ก.ล.ต.จะออกประกาศเพิ่มเติมเพื่อให้มีผลบังคับใช้ ส่วนบริษัทเอกชนไทยที่ออกไอซีโอไปแล้วก่อนหน้านี้ จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายภายใน 6 เดือน
ส่วน พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร เป็นเรื่องการจัดเก็บภาษีสกุลเงินดิจิทัลและไอซีโอจากผู้ประกอบการด้วยวิธีการหักภาษี ณ ที่จ่าย ในอัตรา 15% เมื่อมีรายได้จากการขายสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งมาจากผลกำไรและเงินปันผล หรือประโยชน์ผลตอบแทน เป็นต้น โดยผู้ที่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย สามารถนำมารวมกับรายได้ตลอดปี หากมียอดเสียภาษีเกินก็สามารถขอภาษีคืนได้ แต่หากจ่ายค่าภาษีน้อยไปก็ต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น ไม่เหมือนกับการหัก ณ ที่จ่ายของดอกเบี้ยเงินฝากของสถาบันเงิน หรือการยกเว้นภาษีการซื้อขายหุ้นในตลาดหุ้น เนื่องจากรัฐบาลไม่ได้ส่งเสริมให้มีการซื้อขายเงินสกุลดิจิทัล
ทั้งนี้ เมื่อรัฐบาลกำหนดคำนิยามว่า สกุลเงินดิจิทัลว่าเป็น “สินทรัพย์” ที่มีมูลค่า จึงต้องเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) 7% โดยจะใช้ประมวล รัษฎากรปัจจุบันดำเนินการจัดเก็บภาษีแวตไปพร้อมกับกฎหมายใหม่ทั้ง 2 ฉบับ ส่วนแนวทางการจัดเก็บภาษีแวต จะเก็บจากกลุ่มตัวแทน ดีลเลอร์ โบรกเกอร์ ส่วนบุคคลรายย่อยทั่วไปได้รับการยกเว้นภาษีแวตเหมือนกับการซื้อขายทองคำ อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากฎหมายทั้ง 2 ฉบับจะมีผลบังคับใช้แล้วก็ตาม แต่ประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เรื่องไม่ให้สถาบันการเงินทำธุรกรรมกับสกุลเงินดิจิทัลยังคงสั่งห้ามเหมือนเดิม
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารไม่สนับสนุน และยุ่งเกี่ยวกับธุรกรรมการเงินดิจิทัลทุกรูปแบบ พร้อมกันนี้ได้สั่งปิดบัญชีเงินฝากตัวแทนรับซื้อขายเงินสกุลดิจิทัลไปแล้ว และนับจากนี้หากสืบพบว่ามีผู้ประกอบการรายใดได้เปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคาร และนำเงินไปลงทุนสกุลเงินดิจิทัล ธนาคารจะสั่งปิดบัญชีทันที.