ซีไอเอ็มบี ไทย ปลื้มผลงานปี 60 สินเชื่อโต 3.2% มองเศรษฐกิจปี 61 ขยายตัว 4% หนุนผลประกอบการดีต่อเนื่อง พร้อมลุยแผนฟาสต์ฟอร์เวิร์ด ขึ้นเป็นแบงก์ระดับกลาง ใน 5 ปี ลั่นไม่ลดสาขาและพนักงาน จ่อเจรจา 2 พันธมิตร เป็นแบงก์กิ้ง เอเย่นต์...
นายกิตติพันธ์ อนุตรโสตถิ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า ผลประกอบการของธนาคารซีไอเอ็มบี ไทยในปี 2560 โดยภาพรวมถือว่าน่าพอใจ ธนาคารมีอัตราเติบโตของสินเชื่อ 3.2% โดยเฉพาะสินเชื่อบ้านและรถ ซึ่งเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของระบบธนาคารพาณิชย์ที่ 4.4% ประกอบกับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ การเติบโตของสินเชื่อในระดับนี้ถือว่าค่อนข้างดี ขณะที่กำไรก่อนหักสำรองของปี 2560 ปรับเพิ่มขึ้น 5% จาก 5.5 พันล้านบาท เป็น 5.7 พันล้านบาท
ทั้งนี้ยอมรับก่อนหน้า 2-3 ปีที่ผ่านมา หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) มีจำนวนมาก ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากเศรษฐกิจชะลอตัวลง โดยปี 2559 ได้รับผลกระทบจากกลุ่มโรงสี กระทั่งปี 2560 ดีขึ้น แต่ปัญหายังไม่จบลง ซึ่งจะต้องแก้ปัญหาเพื่อให้ลูกค้าปรับตัว โดยมองว่าสถานะหนี้น่าจะดีขึ้นในช่วงต้นๆ ไตรมาส 3 ปีนี้ ซึ่งปี 2561 ตั้งเป้าหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ไม่เกิน 5% และอาจเลือกที่จะขายหนี้ออกไปบางส่วนจากปีก่อนที่ขายไป 2 ครั้ง มูลค่า 3.7 พันล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยปี 2561 จะดีขึ้นและค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ โดยจับตาการลงทุนของภาคเอกชน คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวประมาณ 4% เป็นการเติบโตต่อเนื่องจากปี 2560 ซึ่งเติบโตได้ดีจากภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวเป็นหลัก ขณะที่อุปสงค์ภายในประเทศยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ โดยช่วงครึ่งหลังของปีจะเริ่มเห็นกำลังซื้อและการลงทุนที่ฟื้นตัวชัดขึ้น จากการที่ภาครัฐเดินหน้าโครงการการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยรุดหน้าไปเร็วมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเอสเอ็มอีที่เป็นห่วงโซ่อุปทานให้ธุรกิจขนาดใหญ่ การลงทุนจะฟื้นตัวเข้มแข็งขึ้น เกิดการกระจายตัวมากขึ้น ก่อให้เกิดความเชื่อมั่นสูงขึ้นและผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตดีขึ้นอย่างชัดเจน
สำหรับซีไอเอ็มบี ไทย เชื่อมั่นว่าปี 2561 จะเป็นปีที่ธนาคารทำผลงานได้ดีขึ้นต่อเนื่องจากปีก่อน และปี 2561-2562 นับเป็นก้าวแรกของโครงการฟาสต์ฟอร์เวิร์ด ในการเดินหน้าสู่เป้าหมายก้าวขึ้นเป็นธนาคารระดับกลางที่แข็งแกร่งที่สุดด้านอาเซียนในประเทศไทย หลังจากปี 2560 ได้มีการปรับฐานและปรับกระบวนการวิธีการทำงาน โดยจะเดินหน้าทำต่อเนื่องในปีนี้ รวมถึงเพิ่มอัตรากำลังในธุรกิจที่ธนาคารมีศักยภาพ โดยเฉพาะธุรกิจรายย่อย ของธนาคารทำได้ดีตลอด 2 ปีที่ผ่านมา และเป็นหนึ่งในผู้เล่นรายหลักของตลาดเวลท์ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลาย ตอบความต้องการของลูกค้าที่ต้องการทางเลือกใหม่ๆ รวมถึงธุรกิจขนาดใหญ่ ในปีที่ผ่านมาธนาคารมีดีลที่หลากหลายมากขึ้น และจะยังคงเดินหน้ายุทธศาสตร์พาลูกค้าไปโตในอาเซียน
ส่วนดิจิทัลแบงก์กิ้ง จะเน้นการสมัครสินเชื่อรายย่อย และตู้คีออสในการสมัครขอสินเชื่อได้เอง ประกอบกับกลางปีนี้จะมีแอปพลิเคชันสมัครสินเชื่อ รวมถึงการพัฒนาบริการระบบ QR Payment และระบบสินเชื่อ เป็นต้น ทั้งนี้ยืนยันไม่มีนโยบายลดสาขา และพนักงาน จากจำนวนกว่า 80 สาขาทั่วประเทศ แต่จะมีการเพิ่มพนักงานให้มากขึ้น เพื่อส่งเสริมต่อการขยายการเติบโตของธนาคารที่จะก้าวขึ้นเป็นธนาคารขนาดกลางในช่วง 5 ปีนี้
สำหรับการที่เซเว่น-อีเลฟเว่น จะเข้ามาเป็นแบงก์กิ้ง เอเย่นต์ ให้บริการฝาก ถอน และโอนเงิน มองว่า เป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ ทำให้ต้นทุนการบริการของธนาคารพาณิชย์ลดลง น่าจะเป็นข้อได้เปรียบสำหรับธนาคารขนาดเล็ก และเพิ่มช่องทางการทำธุรกรรม เพิ่มความสะดวกของลูกค้า ซึ่งขณะนี้ธนาคารอยู่ระหว่างการเจรจากับ 2 พันธมิตร เพื่อให้เป็นแบงก์กิ้ง เอเย่นต์ จากที่ผ่านมาได้ให้ทางเอไอเอส เป็นแบงก์กิ้ง เอเย่นต์
นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจรายย่อย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า การแต่งตั้งแบงกิ้ง เอเย่นต์ของแต่ละสถาบันการเงิน เชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทย จะมีการพิจารณาเรื่องนี้ตามหลักเกณฑ์อย่างละเอียด และหากมีการประกาศออกมาอย่างชัดเจน ทางซีไอเอ็มบี ไทย พร้อมจะดำเนินการได้ทันที ซึ่งมองว่าแบงก์กิ้ง เอเย่นต์ ควรมีพนักงานของทางธนาคารมาควบคุมและอบรมในเรื่องสินเชื่อ และเปิดบัญชีเงินฝาก.