นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย เปิดเผยว่า โบรกเกอร์หรือบริษัทหลักทรัพย์ ที่เริ่มแจ้งผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 60 พบว่าส่วนใหญ่กำไรลดลงหรือขาดทุน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแข่งขันที่รุนแรง ทั้งการลดค่านายหน้าซื้อขายหุ้น และการที่ลูกค้าหันมาซื้อขายผ่านระบบออนไลน์มากขึ้น ซึ่งมีค่านายหน้าต่ำกว่าการส่งคำสั่งผ่านมาร์เกตติ้ง และที่สำคัญคือมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันปีนี้ที่ลดลงเหลือวันละ 48,000 ล้านบาท จากปีก่อนไม่ต่ำกว่า 50,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีบางโบรกเกอร์ที่เปิดบัญชีมาร์จิ้นให้นักลงทุนซื้อขายหุ้น โดยมีหุ้นของบริษัทที่มีปัญหาธุรกิจหรือมีปัญหาการชำระหนี้มาเป็นหลักประกัน เมื่อบริษัทเกิดปัญหาทำให้ราคาหุ้นที่นำมาค้ำประกันมีมูลค่าลดลงมาก ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยที่กดดันกำไร แต่มองว่าหุ้นไทยช่วงครึ่งปีหลังน่าจะดีขึ้น ภาวะการซื้อขายน่าจะกลับมาคึกคัก ทำให้รายได้หรือผลประกอบการดีขึ้น “ครึ่งปีหลังหุ้นไทยมีทิศทางดีขึ้น มูลค่าการซื้อขายจะกลับมาคึกคัก ส่งผลให้ค่านายหน้าซื้อขายเพิ่มขึ้น และระยะหลังโบรกฯได้หันไปเพิ่มรายได้ทางอื่นมากขึ้นเพราะค่านายหน้าซื้อขายหุ้นเริ่มขยายตัวลำบาก โดยหารายได้จากพอร์ตลงทุนของบริษัท ค่าธรรมเนียนการเป็นที่ปรึกษาการเงิน ค่าธรรมเนียมในการบริหารพอร์ต wealth management และเป็นตัวแทนซื้อขายหน่วยลงทุนกองทุนรวม”
ทั้งนี้ พบว่า บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง แจ้งไตรมาส 2 มีกำไร 119.04 ล้านบาท ลดลง 61.10 ล้านบาท หรือลดลง 33.92% ด้าน บล.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ มีกำไร 168.32 ล้านบาท ลดลง 171.77 ล้านบาท หรือ 2% ขณะที่ บล.ซีมิโก้ ขาดทุน 90.94 ล้านบาท ลดลง 403% จากช่วงปีก่อนที่มีกำไร 29.94 ล้านบาท เนื่องจากรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการลดลง 26.44 ล้านบาท และยังรับรู้ขาดทุนจากการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นจากลูกหนี้ธุรกิจหลักทรัพย์และลูกหนี้ธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ที่มีหุ้น บมจ.เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ (EARTH) เป็นหลักประกัน.