ในปี 2567 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยเผชิญกับความผันผวนอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยเศรษฐกิจ หรือปัญหาเรื่องความเชื่อมั่น ทำให้นักลงทุนต้องปรับกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง หลายคนมองว่าปีนี้เป็นปีที่ลงทุนได้ยาก และผลตอบแทนโดยรวมของดัชนีตลาดหุ้นไทย หรือ SET index ก็สะท้อนถึงความไม่แน่นอนเหล่านี้อย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ในเวลาที่ดูเหมือนทุกอย่างจะยากลำบาก ก็ยังมีหุ้นบางตัวที่สามารถทำผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่น ในครั้งนี้ "Thairath Money" ได้รวบรวม 5 หุ้นในกลุ่ม SET100 ที่ราคาหุ้นพุ่งแรงที่สุดในปี 2567 เพื่อพิสูจน์ว่า แม้ในตลาดที่ท้าทาย ก็ยังมีโอกาสในการลงทุน พร้อมเจาะลึกถึงอนาคตของ 5 หุ้นที่บวกแรงในปีนี้ ว่ามีโอกาส “ไปต่อ” หรือถึงจุดที่ควร “พอแค่นี้”
สำหรับหุ้นที่ให้ผลตอบแทนด้านราคาเมื่อเทียบกับต้นปี 2567 สูงสุด 5 อันดับแรก (ข้อมูล ณ วันที่ 26 ธ.ค.67) ได้แก่
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า TRUE ยังคงเป็นหุ้นเติบโตที่น่าสนใจ เนื่องจากคาดว่ากำไรในปี 2567 จะกลับมามีกำไรอีกครั้ง และในปีงบ 2568 จะเติบโตได้ 25% จากปี 2567 โดยแนะนำซื้อที่ราคาเป้าหมาย 14.70 บาท
อย่างไรก็ตาม สำหรับประเด็นด้านกฎหมาย ผู้บริหาร TRUE ยังมองบวก เนื่องจากศาลฎีกายังไม่ได้ตัดสินขั้นสุดท้ายว่า TRUE ต้องจ่ายให้กับ NT เป็นจำนวนเท่าใด นั่นหมายความว่า TRUE ยังคงมีโอกาสเจรจาข้อตกลงนอกศาลกับ NT (เดิมชื่อ TOT) และจ่ายน้อยกว่า 5.6 พันล้านบาท
ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า DELTA เป็นผู้ผลิตเพาเวอร์อิเล็กทรอนิกส์ที่ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา กําไรปกติโตเฉลี่ย 28% จากการเติบโตของทั้งยอดขายและมาร์จิ้นที่สูงขึ้น โดยได้กลับมาศึกษา DELTA โดยประเมินราคาเหมาะสมปี 2568 ที่ 133 บาท ที่อิง P/E 60.1 เท่า
แม้สินค้าของ DELTA มีศักยภาพการเติบโตในตามอุตสาหกรรม AI, Data Center, Cloudและรถยนต์ไฟฟ้า โดยคาดกําไรปกติปี 2567-2568 โตสูงราว 23% และ 30% ตามลําดับ แต่ระยะสั้นคาดกําไรไตรมาส 4/67 จะชะลอลงจากไตรมาสก่อนจากผลของฤดูกาล อีกทั้งราคาหุ้นสะท้อนการเติบโตในอนาคตไปมากแล้ว จึงแนะนํา “Neutral”
บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า ผลประกอบการของ VGI ในปี 2567-2568 อยู่ในช่วง turnaround จากการปรับโครงสร้างธุรกิจ และไม่ต้องรับรู้ขาดทุนจาก KEX เมื่อแบ่งตามธุรกิจ ธุรกิจสื่อป้ายโฆษณายังเติบโตดีตามเติบโตดีตามอุตสาหกรรมสื่อนอกบ้านและระบบขนส่ง และ Media Capacity ที่เพิ่มขึ้น ส่วนธุรกิจ Digital Service คาด EBIT จะพลิกเป็นบวกต้นปี 2567/68 และธุรกิจ Distribution ยังคงกลยุทธ์การขายสินค้า House brand แม้ยอดขายจะลดลง แต่อัตรากำไรจะดีขึ้น ขณะที่ Super Turtle อยู่ในช่วงขยายสาขาจึงมีค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งต้องใช้เวลา 3-4 ปีจะคืนทุน
ปัจจุบันอยู่ระหว่างทบทวนประมาณการและราคาเหมาะสม ด้วยผลประกอบการในงวดครึ่งแรกปี 67/68 ที่พลิกเป็นกำไร 141 ล้านบาท ถือว่าฟื้นตัวดีกว่าที่เราคาดไว้ จากประมาณการเดิมที่เราคาดว่าปี 2567/68 จะมีผลขาดทุน 550 ล้านบาท โดยยังไม่ได้นับรวมธุรกิจ virtual bank) ซึ่งต้องรอข้อมูลเพิ่มเติมจากทางบริษัท หลังจากที่ได้ยื่นขออนุญาตไปแล้วร่วมกับพันธมิตร
บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า มีมุมมองเชิงบวกจากการประชุมหลังประกาศผลประกอบการ ผู้บริหารคาดว่ากำไรในไตรมาส 4/67 จะยังคงอยู่ในระดับที่ดี โดยประกาศการเข้าซื้อเรือ FSU ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องได้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 โดยเราประเมินรายได้เพิ่มเติมจากเรือ FSU ใหม่ที่ประมาณ 3.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อไตรมาส ขณะเดียวกัน ได้ถอนเรือ Aframax ออกจากการเป็นเรือขนส่งน้ำมันระหว่างประเทศในไตรมาส 3/67 และดำเนินการดัดแปลงเรือให้เป็นเรือกักเก็บปิโตรเลียม (FSO) ซึ่งผู้บริหารคาดว่าเรือ FSO จะเริ่มดำเนินการได้ในเดือนธันวาคม 2568 ที่แหล่ง G1 (เอราวัณ)
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นธุรกิจสนับสนุนนอกชายฝั่งอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะได้รับมอบเรือ crew boat ใหม่ 2 ลำ ในเดือนกุมภาพันธ์และมิถุนายน 2568 ซึ่งจะเพิ่มจำนวนเรือ crew boat จาก 15 ลำเป็น 17 ลำ ขณะเดียวกัน ผู้บริหารกำลังพิจารณาโอกาสใหม่ในธุรกิจสนับสนุนนอกชายฝั่งอื่น ๆ ในอ่าวไทย ซึ่งอาจเป็นปัจจัยบวกในปี 2568
เราได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2567 ขึ้น 5% เนื่องจากกำไรปกติในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ และได้ปรับประมาณการกำไรปกติในปี 2568-2569 ให้สอดคล้องกัน เราคาดการณ์กำไรปกติในปี 2567 ที่ 2.3 พันล้านบาท เติบโต 23% และปี 2568 ที่ 2.6 พันล้านบาท เติบโต 15% และปี 2569 ที่ 2.9 พันล้านบาท เติบโต 11% โดยแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 10.34 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ระบุว่า แนวโน้มปี 2568 ดูสดใสขึ้น STGT ตั้งเป้ายอดขายปี 2568 ไว้ที่ 4.4 หมื่นล้านชิ้น เติบโต 16% จากปี 2567 ผู้บริหารเชื่อว่าราคาขายเฉลี่ยจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หนุนโดยราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น และอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น จากลูกค้าสหรัฐฯ หลังสหรัฐฯ มีแผนขึ้นภาษีนำเข้า 50%
สำหรับความเห็นและกลยุทธ์การลงทุนนั้น แม้ว่าจะปรับลดประมาณการกำไรลง โดยคาดกำไรสุทธิปี 2567 อยู่ที่ 718 ล้านบาท และปี 2568 อยู่ที่ 1,257 ล้านบาท แต่ได้ปรับราคาเป้าหมายขึ้นโดยปรับปีฐานการประเมินมูลค่าหุ้นจากสิ้นปี 2567 เป็นสิ้นปี 2568 แนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 12.70 บาท จากอุปสงค์ถุงมือยางทั่วโลกที่ฟื้นตัว
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้