เปิดแนวโน้มกระแสเงินลงทุนต่างชาติ หรือ Fund Flow ปี 2568 หลังนักลงทุนต่างชาติกระหน่ำขายหุ้นไทย 2 ปีติดต่อกัน (2566-2567) ทะลุ 3 แสนล้านบาท นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ หวังมีลุ้นหากเศรษฐกิจไทย และกำไรบริษัทจดทะเบียนโตดี ชี้เป้า “หุ้นบิ๊กแคป - เทิร์นอะราวด์” พร้อมแนะจับตาผลกระทบนโยบายการค้าสหรัฐฯ และทิศทางดอกเบี้ย
วทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นกับ “Thairath Money” ว่า ประเมินว่าทิศทางกระแสเงินลงทุนต่างชาติ หรือ ฟันโฟลว์ ในปี 2568 เสี่ยงจะไหลออก สาเหตุเพราะว่าการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) น้อยลง จากตัวเลขเศรษฐกิจที่ยังแข็งแกร่ง
ประกอบกับเงินเฟ้ออาจเร่งตัวขึ้น จากการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ กับนานาประเทศ ทำให้ราคาสินค้าโดยเฉลี่ยจะสูงขึ้น ข้อมูลล่าสุดจาก CME FED Watch ประเมินว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้งในปี 2568
ส่วนความเชื่อมั่นนักลงทุนค่อนข้างเป็นกลาง เพราะตลาดหุ้นไทยขาดปัจจัยหนุน และช่วงก่อนหน้าก็มีความกังวลกับหลายๆ บริษัทจดทะเบียนตามที่เป็นกระแสข่าว โดยมีเพียงการปรับลงของตลาดหุ้นไทยที่ทำให้ Valuation ไม่แพงมากนัก
ด้าน วีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการอาวุโสและนักกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุนเอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล ให้ความเห็นว่า ประเมินว่าทิศทางกระแสเงินลงทุนต่างชาติในปี 2568 ในระยะสั้นจะไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยได้จำกัด เนื่องจากความกังวลประเด็นนโยบายการค้าของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้ยากขึ้น โดยประเมินว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะค่อนไปทางแข็งค่าต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ยังต้องติดตามผลกระทบของนโยบายการค้าสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง ว่าจะมีความรุนแรงหรือไม่ หากไม่รุนแรงมาก ก็มีโอกาสที่จะทำให้เม็ดเงินลงทุนไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียได้ แต่ก็ประเมินว่าอาจไหลเข้ามาไม่มากนัก
สำหรับความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทยต่อสายตานักลงทุนต่างชาตินั้น มองเป็นกลาง เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาหุ้นไทยไม่ได้มีการเติบโตอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะทำให้เม็ดเงินไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยได้มากขึ้นนั้น มองว่าเป็นเรื่องการของเติบโตทางเศรษฐกิจและการเติบโตของกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ดี
สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากเม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้า ประเมินว่าอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ได้แก่ กลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มค้าปลีก และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น เนื่องจากการเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นของต่างชาติมักเป็นเม็ดเงินขนาดใหญ่
ด้าน ภราดร เตียรณปราโมทย์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวว่า นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 2 ปีติดต่อกัน โดยปี 2566 ขายสุทธิ 1.9 แสนล้านบาท และปี 2567 ขายสุทธิ 1.49 แสนล้านบาท (ณ วันที่ 23 ธ.ค.67) ทำให้แนวโน้มหลังจากนี้ประเมินว่านักลงทุนต่างชาติ จะไม่ขายออกมาหนักเหมือนช่วงที่ผ่านมาแล้ว แต่ก็จะไม่เข้าซื้อสุทธิอย่างร้อนแรงเช่นกัน
โดยลักษณะการเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติมองว่าเป็นการ “Selective Buy” จากธนาคารกลางสหรัฐฯ และ กนง. อาจไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วนัก ทำให้ค่าเงินบาทมีโอกาสทรงตัว และจะไม่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว
แม้กระแสเงินลงทุนต่างชาติจะไหลออกอย่างต่อเนื่อง แต่หากสังเกตว่าหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิมักปรับตัวขึ้นได้ดี อย่างปี 2567 ที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มที่อิงกับเมกะเทรนด์ปรับตัวขึ้นได้ดี และบางตัวบวกมากกว่า 20% ได้แก่ DELTA, ADVANC, TRUE, GULF และ CPF เป็นต้น
ดังนั้น มองว่าหุ้นที่จะเป็นเป้าหมายของนักลงทุนต่างชาติในปี 2568 จะเป็นหุ้นที่อยู่ในเมกะเทรนด์ และมีการเทิร์นอะราวด์ เป็นหลัก เช่น กลุ่มปิโตรเคมี กลุ่มวัสดุก่อสร้าง และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่ปี 2567 ปรับตัวลดลงมาแรง รวมถึงกลุ่มที่มี “เกราะป้องกัน” จากนโยบายการค้าสหรัฐฯ ได้แก่ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม กลุ่มโรงพยาบาล และกลุ่มค้าปลีก เป็นต้น
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้