ส่องแนวโน้มตลาดหุ้นไทยปี 2568 นักวิเคราะห์ฯ ต่างคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัวได้ โดยประเมินเป้าหมายสูงสุดที่ระดับ 1,600 จุด จากแรงหนุนของเศรษฐกิจในประเทศ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และกำไรบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มเติบโต
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ฯ มีความเห็นไปในทางเดียวกันว่า นโยบายการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ นั้น ยังถือเป็นความเสี่ยงหลัก ดังนั้น นักลงทุนควรติดตามผลกระทบ และปรับพอร์ตอย่างเหมาะสม เพื่อคว้าโอกาสการลงทุน
วีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการอาวุโสและนักกลยุทธ์ บริษัท หลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุนเอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล ให้ความเห็นกับ “Thairath Money” ว่า ประเมินเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทย ณ สิ้นปี 2568 ไว้ที่ระดับ 1,600 จุด ซึ่งปัจจัยในประเทศจะเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก โดยเฉพาะการบริโภคภายในประเทศ ที่จะฟื้นตัวได้ดีจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของรัฐบาล รวมถึงภาคการลงทุนที่มีการเดินหน้าขยายโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ด้วยเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าน่าจะเติบโตได้ที่ 3% รวมถึงแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. และการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนที่คาดว่าจะอยู่ที่ 98 บาทต่อหุ้นนั้น น่าจะหนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัวได้
ทั้งนี้ ยังต้องติดตามความเสี่ยงหลัก ที่มาจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่จะมีการปรับขึ้นกำแพงภาษี คาดว่าจะกดดันภาพรวมการค้าโลก โดยเฉพาะการส่งออกของไทย ซึ่งอาจทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงต้นปี 2568 ฟื้นตัวได้จำกัด
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำหุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจและการบริโภคในประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะภาคการลงทุน และการท่องเที่ยว ส่วนกลุ่มที่อิงกับการส่งออกนั้นมองว่ายังมีความเสี่ยง
ด้าน วทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นว่า ประเมินเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยที่ 1,540 จุด โดยคาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,360 - 1,540 จุด ภายใต้ความกังวลสงครามการค้ากับนานาประเทศอาจกลับมาอีกรอบ โดยเฉพาะระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และอาจรวมถึงประเทศไทยที่ โดนัลด์ ทรัมป์ อาจตั้งกำแพงภาษี เพราะไทยเกินดุลการค้าค่อนข้างสูง ซึ่งภายใต้แรงกดดันจากสงครามการค้าจะสร้าง Downside ต่อประมาณการเศรษฐกิจไทยผ่านการส่งออก และอาจรวมถึงการท่องเที่ยว
ประกอบกับเศรษฐกิจไทยที่ค่อนข้างอ่อนแรงอยู่แล้ว ปี 2568 ธนาคารแห่งประเทศไทย คาดการณ์เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเพียง 2.9% จากปี 2567 ถือว่าลดลง เพราะก่อนหน้าเศรษฐกิจไทยเคยขยายตัวได้ในระดับ 3-4% ปัจจัยหนุนของตลาดหุ้นไทย เห็นจะมีเพียงอย่างเดียวคือกระแสเงินทุนภายในประเทศ โดยเฉพาะกองทุนวายุภักษ์ที่รัฐบาลจัดตั้งเมื่อช่วงปลายปี 2567 ดังนั้นตลาดหุ้นไทยหากปรับลงมาแรง จะได้แรงหนุนจากตรงนี้
แต่ทั้งนี้ อย่างที่กล่าวไว้ในปี 2568 คาดหวังกระแสเงินทุนภายในมากกว่ากระแสเงินทุนต่างชาติ กลยุทธ์การลงทุนจึงแนะนำเน้นที่ Domestic & Defensive โดยหุ้น Top Pick เลือก BDMS, BBL, CPALL, CPN, CBG, CENTEL เป็นต้น
ด้าน เอกราช ศรีศุภวิชากิจ ผู้อำนวยการอาวุโส และผู้บริหารฝ่ายพัฒนาธุรกิจดิจิทัลและออนไลน์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นว่า ในเชิงภาพใหญ่นั้น ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจน้อยกว่าเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาค เนื่องจากมีโอกาสเติบโตไม่มากนัก ขณะที่หากมองลงไปในหุ้นรายตัว ก็หาหุ้นที่มีการเติบโตยากเช่นกัน
แต่ทั้งนี้ ก็มีข้อสังเกตที่น่าสนใจคือในปี 2568 แนวโน้มการเติบโตของตลาดหุ้นทั่วโลกอาจจะออกมาต่ำกว่าปี 2567 นักลงทุนอาจหันมาพิจารณาประเด็นเรื่องของ Valuation เป็นหลัก ทำให้ตลาดหุ้นไทยดูมีสเน่ห์ขึ้นมา จากปัจจุบันมี Valuation ที่อยู่ในโซนถูก และประเด็นที่กดดันต่างๆ ทั้งเรื่องของตัวเลขทางเศรษฐกิจ งบประมาณ ประเด็นการเมือง ได้ผ่านพ้นไปแล้ว โดยราคาหุ้นส่วนใหญ่ได้สะท้อนความกังวลดังกล่าวไปแล้วเช่นกัน นอกจากนี้ ยังเห็นการออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น-ยาว จากรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง
ภาพดัชนีตลาดหุ้นไทยในปี 2568 ประเมินว่าในช่วงครึ่งแรกของปี ดัชนีมีโอกาสฟื้นตัวขึ้นสู่ระดับ 1,500 จุด ซึ่งถือเป็นจุดที่มีนัยสำคัญทางเทคนิค โดยเชื่อว่าจะมีโอกาสเกิด January Effect ทำให้เม็ดเงินเกิดการไหลเข้ามาที่หุ้นไทย อย่างไรก็ตาม ภาพรวมดัชนีที่ผ่านมามีความผิดเพี้ยนจากการเปลี่ยนแปลงราคาของหุ้น DELTA ทำให้มีอัพไซด์จำกัด
ส่วนกลยุทธ์การลงทุนแนะนำลงทุนหุ้นในอุตสาหกรรมที่มีความโดดเด่น และมีศักยภาพในการเติบโตสูง ได้แก่ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม กลุ่มสื่อสาร และกลุ่มที่อิงกับดาต้าเซ็นเตอร์
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้