ทิสโก้ชี้กำไร บจ. โตลำบาก วายุภักษ์อาจหมดแรงพยุง ปี 68 วางเป้าหุ้นไทยที่ 1,550 จุด แนะ “ลดน้ำหนัก"

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

ทิสโก้ชี้กำไร บจ. โตลำบาก วายุภักษ์อาจหมดแรงพยุง ปี 68 วางเป้าหุ้นไทยที่ 1,550 จุด แนะ “ลดน้ำหนัก"

Date Time: 18 ธ.ค. 2567 16:07 น.

Video

แก้เกมหุ้นไทยตกต่ำ ประธานตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดแผนฟื้นความเชื่อมั่น | Money Issue

Summary

  • TISCO ESU เผยเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปี 2568 ที่ 1,550 จุด หวั่นกำไรบริษัทจดทะเบียนโตลำบาก ฟันโฟลว์ยังไม่ไหลเข้า ขณะที่เม็ดเงินวายุภักษ์ล็อตแรกคาดกระจายลงทุนครบแล้ว แนะนำ “ลดน้ำหนักการลงทุน” อย่างไรก็ตาม แนะนำลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ จากประโยชน์ของนโยบายทรัมป์ พร้อมให้น้ำหนักการลงทุนตลาดหุ้นญี่ปุ่น รับการเติบโตของเศรษฐกิจ

Latest


นักเศรษฐศาสตร์ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) เปิดเผยทิศทางเศรษฐกิจและกลยุทธ์การลงทุนปี 2568 วางเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยที่ 1,550 จุด แม้คาดเศรษฐกิจโตได้ 3% แต่หวั่นกำไรบริษัทจดทะเบียนโตลำบาก ฟันโฟลว์ยังไม่ไหลเข้า ขณะที่เชื่อว่าเม็ดเงินวายุภักษ์ล็อตแรกกระจายลงทุนไปครบแล้ว พร้อมให้คำแนะนำ “ลดน้ำหนักการลงทุน”

อย่างไรก็ตาม แนะนำลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลังประเมินว่าเศรษฐกิจจะเติบโตได้ดี โดยเน้นหุ้นที่จะได้รับประโยชน์จากนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ เช่น กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยและกลุ่มสถาบันการเงิน พร้อมให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่น รับการเติบโตของเศรษฐกิจ และความเสี่ยงจากสงครามการค้าที่มีจำกัด

เป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปีหน้า 1,550 จุด แนะ “ลดน้ำหนัก”

คมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ เปิดเผยว่า ทิสโก้ประเมินเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยปี 2568 ที่ระดับ 1,550 จุด หนุนจากเศรษฐกิจที่สามารถเติบโตได้ที่ 3% แต่มีอัพไซด์ไม่มาก เพราะการเติบโตของกำไรยังไม่ชัดเจนนัก จึงแนะนำ “ลดน้ำหนักลงทุน” และเน้นไปที่การลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นญี่ปุ่น

โดยทิศทางการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนยังไม่ชัดเจน และยังไม่มีประเด็นที่สร้างความน่าสนใจสำหรับนักลงทุนต่างชาติ ทำให้คาดว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในรอบถัดไป จะหนุนให้เม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ มากกว่าตลาดหุ้นไทย

สำหรับเม็ดเงินลงทุนของกองทุนวายุภักษ์ จากการศึกษาเชื่อว่ามีการจัดสรรการลงทุนก้อนแรกครบหมดแล้ว และเม็ดเงินบางส่วนก็อยู่ในตลาดตราสารหนี้ แต่หากดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลงเยอะ ก็มีโอกาสสลับลงทุนได้บ้าง

ส่วนกองทุน Thai ESG มีผลกับตลาดหุ้นไม่มากนัก เนื่องจากเม็ดเงินสามารถกระจายในหลายสินทรัพย์ ต่างจากกองทุน LTF อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนเข้ามามากขึ้นในปี 2568 เนื่องจากจะเริ่มมีกองทุน LTF ที่จะทยอยครบกำหนดอีกราว 2.4 แสนล้านบาท

“ยังมองหุ้นต่างประเทศดีกว่าไทย เราเห็นหุ้นไทย 10 ปีไม่ขึ้นเลย แต่ถ้าเราไปมองเหตุผล คือ กำไรก็ไม่โตเหมือนกันในช่วงที่ผ่านมา ปีหน้ากำไรก็โตลำบากอยู่เหมือนกัน ในขณะที่สหรัฐฯ ชัดเจนคือมีนโยบายกระตุ้นของทรัมป์รออยู่” คมศร กล่าว

แนะลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ - ญี่ปุ่น

คมศร กล่าวอีกว่า ในปี 2568 จะเป็นปีที่ตลาดหุ้นโลกผันผวนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยัง “คงน้ำหนักการลงทุนในหุ้นมากกว่าตลาด” (Overweight) ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ยังขยายตัวต่อเนื่อง โดยให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่จะได้อานิสงส์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ เช่น การลดภาษี และการเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ

ทั้งนี้ ประเมินว่าหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มเทคโนโลยีอาจไม่ได้เป็นผู้นำตลาดต่อไปในปีหน้า เนื่องจากระดับ Valuation ที่แพง และแนวโน้มบอนด์ยิลด์ที่สูงจะเป็นปัจจัยกดดันต่อ Valuation ของหุ้นในกลุ่มเติบโตสูง นอกจากนั้นหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีอาจเป็นเป้าหมายของการขึ้นภาษีตอบโต้สงครามการค้าของสหรัฐฯ อีกด้วย

โดยแนะนำให้ปรับพอร์ตการลงทุนมาเน้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะได้ประโยชน์จากทั้งภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และนโยบายในปีหน้า โดยเน้นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์สูงสุดจากนโยบายลดภาษีนิติบุคคล และมียอดขายส่วนใหญ่อยู่ในประเทศ ซึ่งทำให้ความเสี่ยงจากการถูกตอบโต้จากสงครามการค้ามีจำกัด ซึ่งได้แก่กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย และกลุ่มสถาบันการเงินในสหรัฐฯ

นอกเหนือจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ เราให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่น ที่จะได้รับผลบวกจากการเติบโตของเศรษฐกิจที่เร่งตัวขึ้น ในขณะที่ความเสี่ยงจากสงครามการค้ามีจำกัด ส่วนหุ้นในตลาดเกิดใหม่อาจต้องเผชิญแรงกดดันจากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าและบอนด์ยิลด์ที่ทรงตัวในระดับสูง

เศรษฐกิจไทยปี 2568 คาดโต 3%

ด้านเมธัส รัตนซ้อน นักเศรษฐศาสตร์ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกในปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แต่มีความเสี่ยงที่จะโน้มไปทางด้านต่ำ โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวที่ระดับ 3.2% โดยมีปัจจัยบวกมาจากการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ดีกว่าคาด

อย่างไรก็ตาม ยังมีความเสี่ยงจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ สถานการณ์สงครามที่ยังไม่คลี่คลายทั้งในตะวันออกกลาง และรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งจะสร้างความไม่แน่นอนแก่ราคาพลังงานและเงินเฟ้อ รวมถึงทิศทางของนโยบายการเงินโลก

สำหรับเศรษฐกิจไทยปี 2568 ประเมินว่าจะโตได้ 3% โดยมองว่าเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนหลัก คือภาคการท่องเที่ยว และการลงทุนจากทั้งภาครัฐและเอกชนที่เข้ามามีบทบาทต่อเศรษฐกิจมากขึ้น

โดยคาดว่าจะเห็นเม็ดเงินเอกชนกลับเข้ามามากขึ้น ดังนั้น รัฐบาลควรจะมีการดำเนินนโยบายให้เหมาะสม เพื่อกระตุ้นเม็ดเงินลงทุน โดยเฉพาะการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนตรงจากต่างชาติ (FDI) รับเทรนด์การย้ายฐานผลิต เช่น ความชัดเจนของเมกะโปรเจกต์ต่างๆ ได้แก่ โครงการ Land Bridge, โครงการ Entertainment Complex และโครงการระเบียงไข่มุก เป็นต้น

ส่วนความเสี่ยงหลักคือภาคอุตสาหกรรมการผลิต โดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์ ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากนโยบายการค้าสหรัฐฯ รองลงมาคือปัญหาภาระหนี้สินในประเทศที่อยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือน

อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/investment
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้
https://www.facebook.com/ThairathMoney


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ