หลังจากที่บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น CPALL เจ้าของร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven รวมถึง Makro และ Lotus’s ผ่านการถือหุ้นกลุ่ม CPAXT ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3/67 ว่าบริษัทมีกำไรสุทธิ 5.6 พันล้านบาท เติบโตกว่า 27% จากการดำเนินงานที่ดีขึ้นของกลุ่มธุรกิจร้านสะดวกซื้อ ธุรกิจค้าปลีก และศูนย์การค้า และการควบคุมต้นทุนที่ดีขึ้นนั้น
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ต่างให้ความเห็นไปในเชิงบวก โดยข้อมูลจากสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA Consensus) ณ วันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 ระบุว่ามีโบรกเกอร์ให้คำแนะนำ “ซื้อ” ทั้งหมด 19 ราย ที่ราคาเป้าหมายเฉลี่ย 79.59 บาท สูงสุด 91.00 บาท และต่ำสุด 64.80 บาท
โดยบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น CPALL รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/67 ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่าบริษัทฯ มีรายได้รวม 241,282 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน คิดเป็น 6.6% โดยมีสาเหตุหลักมาจากการปรับเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายสินค้าของทุกกลุ่มธุรกิจ ซึ่งประกอบด้วยธุรกิจร้านสะดวกซื้อ ธุรกิจค้าส่งค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคและศูนย์การค้า และกลุ่มธุรกิจอื่นๆ
ตามการบริโภคภายในประเทศที่ยังมีการขยายตัว จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วงปลายไตรมาส รวมถึงการท่องเที่ยวในไตรมาสนี้ที่ยังคงปรับตัวดีขึ้นจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้กลยุทธ์ O2O ของแต่ละหน่วยธุรกิจยังคงเป็นปัจจัยเสริมในการเติบโตของรายได้อีกทางหนึ่งด้วย ถึงแม้จะเผชิญกับฝนตกหนักในช่วงฤดูฝนที่ผ่านมา
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้จำนวน 11,468 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.2% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และรายงานกำไรสุทธิเท่ากับ 5,608 ล้านบาท โตจากปีก่อน 27% โดยมีกำไรสุทธิ (หลังปรับปรุงรายการ)* จำนวนเท่ากับ 6,190 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 44.1% สาเหตุหลักมาจากการดำเนินงานที่ดีขึ้นของกลุ่มธุรกิจร้านสะดวกซื้อ และกลุ่มธุรกิจค้าปลีกและศูนย์การค้าเป็นหลัก ประกอบกับการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ กำไรต่อหุ้นตามงบการเงินรวมในไตรมาส 3/67 มีจำนวนเท่ากับ 0.61 บาท
ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัท หลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ให้ความเห็นว่ากำไรสุทธิของ CPALL ไตรมาส 3/67 ที่ 5.6 พันล้านบาท (รวมค่าใช้จ่ายพิเศษ 582 ล้านบาท) โต 27% จากปีก่อน ส่วนกำไรปกติอยู่ที่ 6.2 พันล้านบาท โต 45% จากปีก่อน ดีกว่าคาด เพราะยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น จากการเติบโตของทุกๆ ธุรกิจ (7-Eleven และกลุ่ม CPAXT)
ส่วนกำไรงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 มีสัดส่วนราว 77% ของคาดการณ์กำไรทั้งปี จึงยังคงประมาณการกำไรปี 2567 - 2568 ไว้ตามเดิม เพราะเชื่อว่า upside ต่อประมาณการไม่มากนัก คงราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 91 บาท (คงอิง PER 31.5 เท่า, -0.5 SD) คงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1) มีปัจจัยบวกจากกำไรปกติไตรมาส 3/67 ที่ดีกว่าคาด และแนวโน้มกำไรที่สดใสรออยู่ในไตรมาส 4/67
ซึ่ง บล.เอเซีย พลัส คาดว่ากำไรในไตรมาส 4/67 น่าจะเติบโตดีขึ้น ทั้งจากไตรมาส 3/67 และช่วงเดียวกันของปีก่อน และทำสถิติสูงสุดของปีได้จากปัจจัยหนุนดังต่อไปนี้
1. ผลบวกจากฤดูกาล เพราะในไตรมาส 4 ของทุกปี จะเป็น High season ของกลุ่ม เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองส่งท้ายปี ที่ผู้บริโภคมักมีการจับจ่ายสูง
2. ช่วงปลายปีเป็นฤดูท่องเที่ยว และมีวันหยุดยาว ทำให้มีการเดินทางทั้งจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ และคนไทยที่เดินทางในประเทศมากขึ้น หนุนยอดขายในสาขาที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว รวมทั้งการขายสินค้าประเภทอาหารพร้อมทาน และของใช้ส่วนตัว ซึ่งจะช่วยผลักดันอัตรากำไรขั้นต้น
3. ภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย อย่าง “โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567” ที่แจกเงินให้แก่กลุ่มเปราะบาง 14.5 ล้านคน เป็นกลุ่มแรก ตั้งแต่ปลายเดือนกันยายน 2567 เป็นเงินสด ซึ่งจะทำให้กลุ่มเป้าหมายสามารถจับจ่ายได้ตามต้องการ รวมทั้งการซื้อสินค้าใน 7-Eleven, Makro และ Lotus’s
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้