ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลดลลงอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงเช้าวันนี้ ราคาน้ำมันดิบ WTI อยู่ 68.94 ดอลลาร์ต่อบาเรล เป็นการกลับมาร่วงต่ำกกว่าระดับ 70ดอลลาร์ จากช่วง 3 เดือนก่อนหน้านี้ที่ราคาน้ำมันดิบเกือบ 80 ดอลลาร์ ต่อบาเรล การปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันรอบนี้กดดันให้ผลประกอบการของหุ้นในกลุ่มโรงกลั่น และปิโตรเคมี ในช่วงไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมานั้นยากลำบาก โดยนักวิเคราะห์คาดว่า หุ้นในกลุ่มปิโตรเคมี และโรงกลั่น ต้องเจอกับการบันทึกผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน และในขณะเดียวกัน มีถึง 5 บริษัท เสี่ยงที่ต้องขาดทุน
บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส ประเมินว่า กลุ่มปิโตรเลียม-ปิโตรเคมี ทิศทางผลการดำเนินงานของกลุ่มปิโตรเลียมและปิโตรเคมีในไตรมาสที่ 3 มีการปรับตัวลดลงทั้งเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าและเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งในส่วนของผลการดำเนินงานสุทธิและผลการดำเนินงานปกติ
สำหรับกลุ่มปิโตรเลียม บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ได้ประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 3 โดยมีกำไรสุทธิ 17,900 ล้านบาท ลดลง 25.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ใกล้เคียงกับที่ฝ่ายวิจัยคาดไว้ โดยถูกกดดันจากกำไรปกติที่ลดลง 25.8% จากไตรมาสก่อน มาอยู่ที่ 18,200 ล้านบาท เนื่องจากปริมาณขายที่ลดลงและต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
ในส่วนของกลุ่มโรงกลั่น แนวโน้มผลการดำเนินงานสุทธิของทุกบริษัทในกลุ่มเผชิญกับผลขาดทุนในไตรมาส 3/2567 โดย บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP), บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC), บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (IRPC), บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (BCP) และ บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) (SPRC) ถูกกดดันจากการบันทึกขาดทุนสต็อกน้ำมันและการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ (NRV) นอกจากนี้บางบริษัท เช่น PTTGC ยังบันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษจากการตั้งด้อยค่าสินทรัพย์ Vencorex และ PTT Asahi รวม 20,000 ล้านบาท เป็นแรงกดดันเพิ่มเติม อีกทั้งผลการดำเนินงานปกติของกลุ่มโรงกลั่นยังปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนเนื่องจากค่าการกลั่นที่อ่อนตัวลงเล็กน้อย
บริษัทที่มีทั้งธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีในไตรมาส 3/2567 ยังคงได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานในกลุ่มปิโตรเคมีที่ยังไม่สดใส โดยเฉพาะในสายอะโรเมติกส์และโอเลฟินส์เนื่องจากส่วนต่างกำไร (Spread) ยังอยู่ในระดับต่ำจากความต้องการใช้ที่ยังไม่ฟื้นตัว โดยเฉพาะจากผู้บริโภคหลักในภูมิภาค เช่น จีน ขณะที่ส่วนต่างกำไรกลุ่ม PET ของ บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) (IVL)*เห็นการขยับตัวขึ้นบ้างแต่ยังถือว่าน้อยมาก
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มในไตรมาส 4/2567 คาดว่าผลการดำเนินงานปกติของกลุ่มปิโตรเลียมและปิโตรเคมีจะเริ่มฟื้นตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เนื่องจากมีช่วงฤดูกาลปลายปีเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ที่ช่วยหนุนความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปในกลุ่ม Middle Distillate ให้ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อค่าการกลั่น ในขณะเดียวกันราคาน้ำมันดิบดูไบคาดว่าจะประคองตัวได้ในช่วง 75-80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลจากแรงหนุนตามฤดูกาล ส่วน Spread ในกลุ่มปิโตรเคมียังคาดว่าจะยังไม่ฟื้นตัวมากนักจากเศรษฐกิจที่ยังอยู่ในภาวะชะลอตัว อีกทั้งไตรมาส 4 ยังถือเป็นช่วง Low Season ของธุรกิจปิโตรเคมี