เจ.พี.มอร์แกน เผยต่างชาติสนหุ้นไทย จับตาเลือกตั้งสหรัฐฯ ชี้ชะตาฟันโฟลว์

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

เจ.พี.มอร์แกน เผยต่างชาติสนหุ้นไทย จับตาเลือกตั้งสหรัฐฯ ชี้ชะตาฟันโฟลว์

Date Time: 27 ต.ค. 2567 09:00 น.

Video

ทางรอดเศรษฐกิจไทยในยุค AI ครองโลก | 1st Anniversary Thairath Money

Summary

  • JP Morgan มองตลาดหุ้นไทยยังน่าลงทุน แต่ยังต้องจับตาเลือกตั้งสหรัฐฯ ชี้เม็ดเงินต่างชาติรอดูนโยบายก่อนตัดสินลงทุนในเอเชีย พร้อมปักหมุดไทยขยาย 3 บริการ เร่งเครื่องธุรกิจ บลจ. เล็งเพิ่ม Active ETF ตลาดหุ้นโลก ชูลงทุนได้ผลตอบแทนมากกว่าดัชนี

Latest


ตลาดหุ้นไทยยังคงเป็นจุดสนใจของนักลงทุนในปีนี้ โดยผู้บริหาร เจ.พี.มอร์แกน ประเทศไทย (J.P. Morgan Thailand) ชี้ให้เห็นว่า ตลาดหุ้นไทยได้อานิสงส์จากการลงทุนในภูมิภาค รวมถึงการลงทุนของกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง (VAYU1) ที่ถือเป็นอีกหนึ่งแรงสนับสนุนสำคัญที่ช่วยเสริมตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมา


ทั้งนี้ โครงการ Entertainment Complex จะทำให้ภาคการท่องเที่ยวของไทยน่าสนใจอีกครั้ง ในขณะที่กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่กำลังวางแผนขยายการลงทุนในไทยนั้นจะช่วยสร้างความน่าสนใจให้เพิ่มขึ้นด้วย


อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังจับตาการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่กำลังจะเกิดขึ้น รวมถึงนโยบายการเงินของทั้งธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งจะส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนในภูมิภาคเอเชียโดยตรง


นอกจากนี้ เจ.พี.มอร์แกน ยังมองเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจในไทยอย่างต่อเนื่อง โดยโฟกัสผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ที่ตอบโจทย์นักลงทุนไทยทั้งรายย่อยและรายสถาบัน ไม่ว่าจะเป็นตราสารอนุพันธ์ เดลต้าวัน และธุรกิจการบริหารสินทรัพย์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจในศักยภาพและการเติบโตของตลาดการเงินไทยในอนาคต


ตลาดหุ้นไทยยังน่าสนใจ จับตาเลือกตั้งสหรัฐฯ


มาร์โค สุจริตกุล เจ้าหน้าที่บริหารอาวุโสประจำประเทศไทย เจ.พี.มอร์แกน ประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยเริ่มปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม แม้สภาพเศรษฐกิจไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก แต่ได้รับอานิสงส์จากเม็ดเงินลงทุนที่ไหลเข้ามาสู่ตลาดในภูมิภาคมากขึ้น จากนโยบายของจีน ขณะเดียวกันยังได้แรงหนุนจากเม็ดเงินลงทุนของกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง (VAYU1) ด้วย


หากประเมินไปข้างหน้า ประเทศไทยยังมี “Entertainment Complex” ซึ่งถือว่าเป็นโครงการที่น่าสนใจ เนื่องจากเรามีพื้นฐานที่ดี และเก่งด้านอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอยู่แล้ว จึงมีความได้เปรียบเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค


พร้อมกันนี้ ประเทศไทยมีการขยายการลงทุนด้าน Data Center จากบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ความต้องการใช้พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย ถือเป็นกลุ่มที่น่าลงทุน


อย่างไรก็ตาม  ยังต้องจับตาต่อไปว่าพรรคใดจะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพราะหากดูนโยบายของ 2 พรรค ทั้งเดโมแครตและริพับลิกันนั้น ยังไม่มีการประกาศนโยบายที่ชัดเจนมากนักในการแข่งขันครั้งนี้ แต่ที่เห็นได้คือวิธีการดีลกับประเทศจีนแตกต่างกันมาก ซึ่งจะส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนในภูมิภาคเอเชีย


“สำหรับผมตลาดหุ้นไทยยังเป็นตลาดที่น่าลงทุน หากเราดูครึ่งปีแรก นักลงทุนต่างชาติขายออกเยอะ แต่ปัจจุบันเริ่มกลับเข้ามาซื้อแล้ว แม้ไม่ได้เข้ามาเต็มพิกัด เนื่องจากกำลังรอดูหลายปัจจัย ทั้งการเลือกตั้งสหรัฐ รวมถึงดอกเบี้ยนโยบายจากทั้งแบงก์ชาติและเฟด ว่าจะมีการปรับลดอีกหรือไม่” มาร์โค กล่าว


ปักหมุดประเทศไทย ขยายบริการทางการเงิน 


มาร์โค กล่าวอีกว่า เจพีมอร์แกน ยังมองหาโอกาสในการขยายธุรกิจในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการให้บริการผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุน ทั้งนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อย ให้เข้าถึงบริการและผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ ที่เป็นตัวเลือกในการลงทุนมากขึ้น


ปัจจุบัน เจพีมอร์แกน โฟกัสที่การให้บริการ 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ ตราสารอนุพันธ์ หรือ Derivative Warrant (DW), เดลต้าวัน หรือ อนุพันธ์ทางการเงินที่มีเดลต้าเป็นหนึ่ง และธุรกิจการบริหารสินทรัพย์ ผ่าน เจ.พี.มอร์แกน แอสเซท แมเนจเม้นท์ (JPMAM)


ด้าน อายาซ อิบราฮิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารประจำประเทศสิงคโปร์และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ของ เจ.พี.มอร์แกน แอสเซท แมเนจเม้นท์ กล่าวว่า ในเชิงของธุรกิจในประเทศไทย เจ.พี.มอร์แกน ได้พัฒนาธุรกิจผ่าน JPMAM มาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีมาร์เก็ตแชร์เติบโตมาอยู่ที่ระดับ 23% ในไทย ส่วนมากลูกค้าเป็นบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) และลูกค้าสถาบัน 


ขณะเดียวกัน เราได้เป็นผู้บุกเบิกในการนำผลิตภัณฑ์ “Active ETF” เข้ามาให้บริการในเมืองไทย ซึ่งเป็น ETF ที่มีนโยบายลงทุนเชิงรุก ที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าดัชนีชี้วัด โดยปีนี้ได้เปิดตัวไป 2 สินทรัพย์ที่อิงกับดัชนีหุ้นโลก อย่างไรก็ตาม Active ETF จะเป็นสิ่งที่เราต้องการพัฒนาเพิ่มขึ้นในอนาคต เพื่อขึ้นสู่ผู้นำการให้บริการดังกล่าวต่อไป


นอกจากนี้ เมื่อต้นปี 2567 ได้มีความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (KAsset) ในประเทศไทย เพื่อนำเสนอโซลูชั่นการลงทุนให้กับผู้ลงทุนไทย ทั้งการให้บริการนวัตกรรมการเงิน การกระจายความเสี่ยง รวมถึงมุมมองการลงทุนเชิงลึก และหวังว่าจะได้พัฒนาผลิตภัณฑ์การเงินใหม่ๆ ร่วมกันในอนาคตด้วย

อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ