ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และสดใส หลังตลาดได้พ้นการปรับฐานและดัชนีเพิ่มขึ้นมาทะลุ 1,450 จุด แม้หลายคนมองว่าตลาดหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาเยอะแล้ว แต่กูรูในตลาดหุ้นต่างฟันธงว่าจะไปต่อ โดยจากงานสัมมนา ตลาดหลักทรัพย์ฯ สัญจร จ.ขอนแก่น “หาโอกาสในตลาดหุ้น สร้างพอร์ตลงทุนให้เติบโต" ที่ถูกจัดขึ้นในวันที่ 5 ตุลาคม ที่โรงแรมพูลแมน ขอนแก่น ราชา ออคิด จังหวัดขอนแก่น ที่ผ่านมา นักวิเคราะห์ และนักลงทุนชื่อดังต่างมองว่า ตลาดหุ้นไทยจะไปต่อ
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม กรรมการบริหาร สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส มองภาพของตลาดหุ้นไทย ในช่วง 3 เดือนหลังจากนี้ถึงต้นปี 2568 นั้นจะปรับตัวขึ้นได้ดีมาก เพราะปัจจัยหลักใน 2 เรื่อง คือ หุ้นไทยมีปัจจัยพื้นฐานที่ดีขึ้น และในขณะเดียวกันทิศทางของเงินทุนต่างชาติก็จะไหลเข้า เมื่อ 2 เรื่องนี้ชัดเจน ก็จะช่วยให้ภาพตลาดดูสดใส
“ตลาดหุ้นไทยหลังจากนี้มีภาพที่ดีมาก เพราะปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนแถมเงินทุนต่างชาติไหลเข้า เมื่อ 2 เรื่องนี้เป็นบวกทั้งคู่ และจะเห็นการปรับตัวขึ้นค่อนข้างชัด”
เทิดศักดิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยดูภาพรวมฟื้นตัวอาจไม่ดีนัก เพราะไทยเป็น K Shape สะท้อนการฟื้นตัวที่ไม่ทั่วถึง อุตสาหกรรมที่มีปัญหา คือ รับเหมาก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ ส่วนอุตสาหกรรมที่ฟื้นตัวดี คือ ภาคบริการ แต่เมื่องบประมาณของรัฐบาลถูกกลับมาขับเคลื่อนอีกครั้ง จึงเป็นโอกาสสำคัญ ที่ทำให้ 4 เครื่องยนต์ของเศรษฐกิจไทยกลับมาเดินเครื่องอีกครั้ง
ทั้งการบริโภคในประเทศ การลงทุนภาครัฐบาล การลงทุนภาคเอกชน และการค้าในประเทศ เราเห็นได้จากการแจกเงินดิจิทัลเฟสแรก 1.4 แสนล้านบาทที่แจกไปแล้ว และการลงทุนภาครัฐ ที่จะต้องเร่งในการเบิกจ่าย ส่วนการลงทุนภาคเอกชน การประกาศลงทุนภาคดาต้าเซ็นเตอร์ จำนวนมาก และเห็นการพิจารณาสนับสนุนการลงทุนของ BOI ประมาณ 5-6 แสนล้านบาท ซึ่งหากรัฐบาลคาดหวังให้การเติบโตของ GDP ปีนี้มากกว่า 2.6% ต้องเร่งให้การเติบโตของ GDP ในครึ่งปีหลังจะต้องโตประมาณ 4%
สำหรับทิศทางดอกเบี้ยนโยบายหลังจากนี้ นักวิเคราะห์ชั้นนำของเมืองไทย มองว่า ดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในทิศทางขาลงชัดเจน เมื่อเงินเฟ้อที่คอนโทรลได้ ไม่มีความจำเป็นต้องค้างดอกเบี้ยไว้ที่สูง ทั้งนี้ปัจจุบันมีเงินฝากคนไทยที่อยู่ในสกุลต่างประเทศ 8 แสนล้านบาท และ AUM ลงทุนต่างประเทศ 1.1 ล้านล้านบาท เมื่อส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยกับเงินปันผล เริ่มแคบลง จะทำให้เงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นไปอีก
นอกจากนี้ การลดดอกเบี้ยจะมีผลกับการแข็ง หรือ อ่อนค่ากับค่าเงินบาท ซึ่งไทยมีสัดส่วนการส่งออกอยู่ที่ 70% ของ GDP สูงกว่าประเทศอื่นๆ อย่าง เกาหลีใต้ 20% ของ GDP และ ญี่ปุ่น 30% ของ GDP เราพึ่งส่งออกจำนวนมาก และถ้าบาทแข็ง คือ การกดดัน
ส่วนกำไรบริษัทจดทะเบียนครึ่งปีแรกอยู่ที่ 5.4 แสนล้านบาท ครึ่งปีหลังคาดว่า 5.9 แสนล้านบาท โตกว่าครึ่งปีแรก 11% และโตจากปีก่อน 27% ก็ส่งผลบวก ส่วนกองทุนวายุภักษ์ 1.5 แสนล้านบาทที่ถูกผลักดันให้เกิดขึ้น ส่วนตัว ไม่อยากให้ตั้งความหวังสูงเกินไป เพราะสภาพตลาดต่างจากอดีต อย่างในช่วงการตั้งกองทุนวายุภักษ์ครั้งแรกในปี 2546 ตลาดหุ้นขึ้น 19% ซึ่งเม็ดเงินจากวายุภักษ์ไหลเข้าตลาดหุ้น 7 หมื่นล้านบาท ในขณะที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดอยู่ที่ 3.8 ล้านล้านบาท แต่เวลานี้ เรากำลังมีเม็ดเงินเพิ่ม 1.5 แสนล้านบาท แต่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดอยู่ที่ 16.7 ล้านล้านบาท ดังนั้น แรงผลักไม่มากเท่าเก่า แต่วายุภักษ์ช่วยจำกัดการปรับตัวลดลง
สำหรับดัชนีเป้าหมายของตลาดหุ้นไทยในช่วงปลายปีนี้ มองว่า จะอยู่ที่ 1,523 จุด ส่วนพอร์ตลงทุนโครงสร้างพอร์ตหุ้นไทย 30-35% ต่างประเทศ 30% กองรีทส์ ตราสารหนี้ ทางเลือก โดยให้ลดน้ำหนักในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เข้ากลุ่มการเงิน กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ธีมที่ 2 หลายบริษัทกำไรทำจุดสูงสุดไปเรื่อยๆ เช่น PLANB BEM หุ้นไฮซีซั่น ท่องเที่ยว AOT อุปโภคบริโภคเกี่ยวข้องกับการอัดฉีดเม็ดเงิน
ชยนนท์ รักกาญจนันท์ Head Coach & Co-Founder FINNOMENA มองว่า ตลาดหุ้นไทยในตอนนี้อยู่ในจุดที่ถูกเมื่อเทียบกับอดีต เมื่อดูจาก P/E ในเวลานี้ แต่เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ก็ยังมีประเทศที่ดีกว่า อย่างเกาหลี ที่การเติบโตดีกว่า ราคาหุ้นถูกกว่า หรือ ในเวียดนาม อินโดนีเซีย และอินเดียที่โตมากกว่าเรา
ถ้าเราจะซื้อหุ้นไทย โจทย์ตอนนี้ คือ เราผ่านจุดที่แย่ที่สุดไปแล้ว และตอนนี้เรากำลังฟื้นตัวได้ดีขึ้น จึงเป็นโอกาสในการซื้อ ทั้งนี้ หากธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. เลือกที่จะลดดอกเบี้ยจะมีผลกับเศรษฐกิจอย่างมาก ซึ่งในไตรมาสที่ 4 และในไตรมาสที่ 1 เชื่อว่าโฟลว์จะไหลเข้าไทย
อย่างไรก็ตาม เราแนะนำให้นักลงทุน กระจายโอกาสการลงทุนในทั่วโลก ซึ่งเราต้องกระจายการลงทุนทั่วโลก โดยเราอยากให้มองภาพใหญ่ทั่วโลกและประเมินการเติบโตของแต่ละตลาด ซึ่งเรามองว่า ถ้าเราลงทุนแบบ DCA แบบค่าเฉลี่ยเพื่อรับการเติบโตดังกล่าว
“หมอชาย” นพ. จักรินทร์ สราญฤทธิชัย เจ้าของเพจ "หุ้นพอร์ตระเบิด" เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ปรับตัวได้ดี เพราะตลาดคาดหวังกับอนาคต ซึ่งสถิติได้บ่งชี้ว่า ตลาดหุ้นไทยมักจะตอบรับก่อนภาคเศรษฐกิจจริง 6 เดือนถึง 1 ปี ซึ่งที่ผ่านมา ตลาดหุ้นขึ้นเพราะกระแสความคาดหวังที่เกิดขึ้นในเศรษฐกิจไทยและความคาดหวัง
ทั้งนี้ส่วนตัวมองว่า ตลาดหุ้นไทย ตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ถึงต้นปีหน้า ตลาดหุ้นไทยจะดี การบริโภค การลงทุน ยังเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และเห็นการเติบโตระยะสั้นและความคาดหวังในอนาคต ซึ่งในต้นปีหน้าจะมีความคาดหวังที่สำคัญว่าเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นจริงหรือเปล่า
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเราดูสถิติตลาดหุ้นไทย 10 ปีย้อนหลัง ในความเป็นจริงดัชนีหุ้นไทยจะไม่ไปไหน แต่ยังมีหุ้นที่ขึ้นอยู่ ดังนั้นเราต้องดูจากภาพใหญ่ธุรกิจไหนน่าสนใจ กลุ่มธุรกิจไหนโต เช่น บริโภค บริการเติบโตดี แม้เราไม่ดีมาก แต่ไม่แย่ แต่แมคโครดีมากขึ้น
อย่างไรก็ตามหากเราจะลงทุน ต้องดูในเรื่องพื้นฐานของบริษัท ทั้งเรื่องของไซเคิล ธุรกิจ วัฏจักรระยะยาวของธุรกิจ และผู้บริหาร
“หุ้นทั่วโลก มีเป็นหมื่นตัว แต่มองว่าจะมีหุ้นประมาณ 10 ตัวที่เปลี่ยนชีวิตเราได้ ถ้าเราเข้าใจธุรกิจนั้นดีพอ ซึ่งจะช่วยเปลี่ยนชีวิตและสร้างความมั่นคงในระยะยาว”
นิ้วโป้ง อธิป กีรติพิชญ์ นักลงทุนแนวหุ้นคุณค่า หรือ VI เผยว่า ภาพของตลาดหุ้นไทยนั้นดูดีขึ้น ทำให้ส่วนตัวได้มีการปรับสัดส่วนการลงทุน โดยเพิ่มน้ำหนักในตลาดหุ้นไทย ประกอบด้วย หุ้นไทย 67% กองทุนหุ้นต่างประเทศ 15% กองทุนหุ้นไทย 3% หุ้นกู้ 3% เงินสด 12% โดยการปรับพอร์ตครั้งนี้เกิดขึ้น ในช่วงเดือน ส.ค. หลังเห็นภาพการเมืองที่เริ่มนิ่งมากขึ้น
นอกจากนี้ตลาดหุ้นไทยมีกฎเกณฑ์ในการดูแลตลาดหุ้นไทยมากขึ้น ในอนาคตข้างหน้า เรามองว่า จะดีขึ้นทั้งภาครัฐเริ่มมีขึ้น กองทุนวายุภักษ์ เข้ามาด้วย ซึ่งตอนนี้ เม็ดเงินกองทุนวายุภักษ์ เข้าลงทุนในตราสารหนี้เป็นหลัก และรอจังหวะเข้าลงทุนในหุ้นไทย
อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาสที่ 4 มองว่าตลาดหุ้นไทยจะดีมาก เพราะ บริษัทในตลาดหุ้นไทยเป็นวัฏจักร และมีไฮซีซั่นในไตรมาสที่ 4 และไตรมาสที่ 1 และในขณะเดียวกันเรากำลังเดินหน้าสู่ดอกเบี้ยขาลงอย่างเป็นทางการ ยิ่งดอกเบี้ยลงซัพพอร์ตให้ตลาดหุ้นขึ้น ยังมีเม็ดเงินจากต่างประเทศที่จะไหลเข้า