คาดแบงก์ชาติยื้อไม่ไหว ต้องลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ หยุดบาทแข็ง ดันเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

คาดแบงก์ชาติยื้อไม่ไหว ต้องลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ หยุดบาทแข็ง ดันเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว

Date Time: 23 ก.ย. 2567 15:48 น.

Video

“The Summer Coffee Company” มากกว่า เครื่องดื่ม คือ ความสุข | Brand Story Exclusive EP.3

Summary

  • บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ประเมินแบงก์ชาติ มีโอกาสลดดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปีนี้จำนวน 2 ครั้ง และต่อเนื่องไปในปี 2568 รวมลดลง 1% เพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ และช่วยลดการแข็งค่าของเงินบาทด้วย อย่างไรก็ตาม วัฎจักรดอกเบี้ยขาลงมีโอกาสหนุนให้เม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง พร้อมประเมินเป้าหมายดัชนีปีนี้แตะระดับ 1,500 จุด และปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 1,550 จุด ในปี 2568

Latest


ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงิน หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด ได้เริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ทำให้หลายฝ่ายเริ่มมองว่า "แบงก์ชาติ" อาจต้องมีการพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงตามไปด้วย


ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ประเมินว่า แบงก์ชาติ มีโอกาสลดดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปีนี้จำนวน 2 ครั้ง และต่อเนื่องไปในปี 2568 รวมลดลง 1%  เพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ และช่วยลดการแข็งค่าของเงินบาทด้วย โดยชี้ให้เห็นว่า หากเงินบาทยังคงแข็งค่าที่ระดับ 33 บาท ไปจนถึงสิ้นปี จะกระทบต่อภาคการส่งออกไทยถึง -6%


อย่างไรก็ตาม บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ประเมินว่า ท่ามกลางวัฎจักรดอกเบี้ยขาลงนั้น มีโอกาสหนุนให้เม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง พร้อมประเมินเป้าหมายดัชนีปีนี้แตะระดับ 1,500 จุด และปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 1,550 จุด ในปี 2568


เปิดเหตุผล “แบงก์ชาติ” อาจต้องลดดอกเบี้ย


ดร. ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า ในไตรมาส 4/67 เศรษฐกิจ ดอกเบี้ย และการเมืองโลกจะเข้าสู่ยุคใหม่ โดยเศรษฐกิจหลักจะชะลอตัวลง โดยเฉพาะภาคการผลิต อย่างไรก็ตา เชื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะ Soft Landing ได้ และไม่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย


สำหรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย มองว่าจะเข้าสู่ยุควัฏจักรขาลง หลังจากเฟดลดดอกเบี้ยเชิงรุก โดยเชื่อว่าจะมีการประกาศปรับลดอีกในช่วงที่เหลือของปี ขณะที่ประเทศอื่นๆ ก็มีโอกาสปรับลดตามไปด้วย 


ด้านคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีโอกาสลดดอกเบี้ย 1.0% โดยคาดว่าจะปรับลด 2 ครั้งในปี 2567 และต่ออีกไปถึงปี 2568 เพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ นอกจากนั้นการลดดอกเบี้ยจะช่วยลดการแข็งค่าของเงินบาทด้วยเช่นกัน


ด้านคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีโอกาสลดดอกเบี้ย 1.0% โดยคาดว่าจะปรับลด 2 ครั้งในปี 2567 และลดดอกเบี้ยต่ออีกในปี 2568 เพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ นอกจากนั้น การลดดอกเบี้ยจะช่วยลดการแข็งค่าของเงินบาทด้วยเช่นกัน


อย่างไรก็ตาม การแข็งค่าของเงินบาทกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคการส่งออก หากเงินบาทคงระดับที่ 33 บาทต่อดอลลาร์ฯ จนถึงสิ้นปี ประเมินว่าจะกระทบต่อการส่งออกไทยในรูปของเงินบาทถึง -6% และหากคิดเม็ดเงินส่งออกในรูปของดอลลาร์ ก็อาจไม่มีการเติบโต


ดร. ปิยศักดิ์ กล่าวเสริมว่า ในส่วนของทิศทางเศรษฐกิจโลกนั้น เศรษฐกิจยุโรปจะขยายตัว 0.8% ในปีนี้ น้อยกว่าสหรัฐฯ ที่ขยายตัว 2.3% เศรษฐกิจจีนจะชะลอลงสู่ 4.8% และญี่ปุ่นจะชะลอลงสู่ 0.0%


ด้านเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีแรกชะลอลงจากปัจจัยการเมืองและนโยบายการเงินการคลังตึงตัว อย่างไรก็ตามการที่รัฐบาลสามารถผลักดันนโยบาย Digital Wallet ได้สำเร็จ ทำให้เศรษฐกิจไทยมีโอกาสฟื้นตัวในไตรมาส 4/67 โดยคาดว่าจะขยายตัวได้ 3.5% ขณะที่ทั้งปี 2567 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 2.5%


ลุ้นหุ้นไทยทะลุ 1,550 จุด หวังเงินวายุภักษ์ดันดัชนี 65 จุด


สิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เปิดเผยว่า การลดดอกเบี้ยของเฟดจะส่งผลดีต่อตลาดเกิดใหม่ ที่เศรษฐกิจยังคงเติบโตดีเมื่อเทียบกับตลาดพัฒนาแล้ว ส่วนดอลลาร์ที่อ่อนค่าจะช่วยหนุนให้เม็ดเงินไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ และตลาดหุ้นไทยได้


ด้านปัจจัยในประเทศยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการออกนโยบายเพิ่มการกระตุ้นเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของรัฐบาลใหม่ ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังจะสามารถปรับตัวขึ้นได้ท่ามกลางความผันผวน


ทั้งนี้ ประเมินเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทย จะปรับตัวขึ้นและแตะระดับ 1,500 จุดภายในสิ้นปี 2567 และปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 1,550 จุด ในปี 2568 ได้ โดยหากคิดจากฐานดัชนี ณ ระดับ 1,380 จุด ประเมินว่าปัจจัยบวกที่จะหนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นอีก มีดังนี้

  • การลดอัตราดอกเบี้ย เป็นบวกต่อหุ้นไทย 19 จุด
  • มาตรการแจกเงิน เป็นบวกต่อหุ้นไทย 18 จุด
  • โครงการ Entertainment Complex เป็นบวกต่อหุ้นไทย 20 จุด
  • โครงการ Soft Power เป็นบวกต่อหุ้นไทย 12 จุด
  • ภาษีเงินได้แบบติดลบ (NIT)  เป็นบวกต่อหุ้นไทย 22 จุด
  • เม็ดเงินลงทุนจากกองทุนรวมวายุภักษ์ เป็นบวกต่อหุ้นไทย 65 จุด

สำหรับกลยุทธ์เน้นโฟกัสบริษัทที่ผลประกอบการมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และได้ประโยชน์จากการบริโภคภายในประเทศที่ฟื้นตัว ด้วยแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และได้ประโยชน์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ได้แก่ BDMS, CPALL, GPSC, HANA และ LHHOTEL

แนะจัดพอร์ตลงทุนกระจายเสี่ยง เน้นหุ้น-ตราสารหนี้โลก


วิศกรณ์ คีรีวรรณ, CFA, ผู้อำนวยการ Investment Strategist ฝ่าย Wealth Products & Strategy บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นโลกโดยรวมจะผันผวนในช่วงครึ่งแรกของไตรมาสที่ 4/67 และจะเริ่มฟื้นตัวได้หลังการเลือกตั้งจบลง โดยแนะนำให้นักลงทุนลดสัดส่วนการถือครองการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่สหรัฐฯ ลง ตลอดจนหุ้นไทยที่ฟื้นตัวขึ้นมารับข่าวการเมืองในระยะสั้น


พร้อมแนะนำให้กระจายการลงทุนไปยังตราสารหนี้โลกเป็นสัดส่วนหลัก ในด้านของตราสารหนี้ภาคเอกชนและ MBS สามารถเข้าลงทุนเพื่อหาผลตอบแทนส่วนเพิ่มได้ ในระยะสั้นแนะนำให้ลงทุนในตราสารหนี้ไทยน้อยกว่าตราสารหนี้โลกเนื่องจากอัตราผลตอบแทนที่ต่ำและค่าเงินบาทที่แข็งค่า


ส่วนการลงทุนในตราสารทุน ยังยึดหลักกำไรต้องเติบโต พร้อมทั้งต้องได้แรงหนุนจากการลดดอกเบี้ยและการเมืองสหรัฐฯ โดยเน้นกระจายการลงทุนในหุ้นขนาดเล็กสหรัฐฯ เพิ่มเติม และลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามเพื่อรับประโยชน์จากสงครามการค้าที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้นหลังการเลือกตั้งจบลง

 

อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ