การกลับเข้ามาซื้อสุทธิหุ้นไทยอย่างหนาแน่นของนักลงทุนต่างชาติในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ต่อเนื่องมาถึงสัปดาห์นี้วันละหลายพันล้านจนแตะหลักหมื่นล้านบาท หลังปัจจัยต่างๆ ภายในประเทศมีความคืบหน้าและความชัดเจนทั้งประเด็นการจัดตั้งรัฐบาล คณะรัฐมนตรีใหม่ ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีคนล่าสุด “แพทองธาร ชินวัตร” รวมทั้งการเร่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ทั้งการปรับนโยบาย ดิจิทัลวอลเล็ตมาจ่ายเป็นเงินสดให้กับกลุ่มผู้เปราะบางจำนวน 14 ล้านคนก่อน และการเร่งผลักดันกองทุนวายุภักษ์ 1 ออกมาเพื่อระดมเงินทุนมาซื้อ “หุ้นน้ำดี” ในตลาดเพื่อลงทุนระยะยาว สร้างเสถียรภาพให้กับตลาดหุ้น ตลอดจนการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีให้กับกองทุน ThaiESG ล้วนเป็นปัจจัยภายในที่ส่งเสริมตลาดหุ้นไทย
แต่อีกปัจจัยสำคัญที่มองข้ามไม่ได้ คือ การจัดงานโรดโชว์ “ไทยแลนด์ โฟกัส” ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดมาอย่างต่อเนื่องทุกปี และถือเป็นเวทีสำคัญที่จะได้มีการสื่อสารกับผู้จัดการกองทุนหรือนักลงทุนสถาบันต่างชาติจากทั่วโลก ให้ได้รับทราบข้อมูลสำคัญถึงความพร้อมและศักยภาพของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยจากผู้กำกับดูแลนโยบายและผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานสำคัญทางเศรษฐกิจภาครัฐ ภาคธุรกิจ ตลาดเงิน ตลาดทุน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) จากทุกกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้มาร่วมให้ข้อมูลธุรกิจ สร้างความเชื่อมั่นและเชื่อมโยงโอกาสการลงทุนให้กับสถาบันลงทุนต่างชาติ เพื่อให้ผู้จัดการกองทุนเหล่านี้นำข้อมูลกลับไปวิเคราะห์เพื่อหาโอกาสจัดสรรเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย
โดยทุกๆปีจะมีผู้ลงทุนสถาบันจากทั่วโลก ตอบรับเข้ามาร่วมงานกันอย่างคึกคัก และในปีนี้ก็เช่นกัน งาน “ไทยแลนด์ โฟกัส” ครั้งที่ 18 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28-30 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยปีนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมกับ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) บล.เกียรตินาคินภัทร ร่วมด้วย Bank of America Securities บล. ทิสโก้ และ Jefferies ร่วมจัดงานภายใต้ แนวคิด “Thailand Focus 2024 : Adapting to a Changing World”
“ภากร ปีตธวัชชัย” กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผยว่า ปีนี้มีผู้ลงทุนสถาบัน 178 รายจาก 80 สถาบันทั่วโลกเข้าร่วมงาน สะท้อนให้เห็นว่าตลาดทุนไทยยังเป็นเป้าหมายการลงทุนในสายตาผู้ลงทุนต่างประเทศ ในจำนวนนี้มีผู้ลงทุนจากกลุ่มประเทศหลัก คือ สิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และสวีเดน ที่เข้าร่วมรับฟัง
ปีนี้ได้รับเกียรติจาก “เผ่าภูมิ โรจนสกุล” รมช.คลัง มาให้ข้อมูลถึงนโยบายและโครงการภาครัฐที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่การเติบโตในอนาคต และ “เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลถึงแนวโน้มเศรษฐกิจและเสถียรภาพของเศรษฐกิจไทย รวมถึงสถานการณ์ด้านสินเชื่อในภาคการเงิน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงในวงการธุรกิจและตลาดทุน ที่ให้ข้อมูลการปรับตัวของตลาดทุนไทย โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจที่ต่อยอดจากจุดแข็งของไทย และศักยภาพในการคว้าโอกาสจากบริบทใหม่ของโลก
“งาน Thailand Focus 2024 ช่วยสร้างความเชื่อมั่น เชื่อมโยงโอกาสการลงทุนแก่ผู้ลงทุนสถาบันต่างชาติ โดยนำเสนอให้เห็นถึงการปรับตัวและก้าวไปข้างหน้าของภาครัฐ ภาคตลาดทุน รวมถึงเอกชนไทย ซึ่งผู้ลงทุนต่างชาติ ยังให้ความสนใจและติดตามการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทย การขับเคลื่อนนโยบายและแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคตที่จะส่งผลต่อการลงทุนและการเติบโตของประเทศและตลาดทุนไทย
นอกจากนี้ การประชุมร่วมระหว่างบริษัทจดทะเบียนกับผู้ลงทุนสถาบัน ที่มีผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน (บจ.)มากถึง 112 บริษัท จากทุกกลุ่มอุตสาหกรรมมาร่วมให้ข้อมูลความแข็งแกร่งธุรกิจและทิศทางการเติบโตผ่านการประชุมทั้งรูปแบบ one-on-one และ group meeting ยังคงได้รับความสนใจ ทั้งบริษัทที่อยู่ในภาคธุรกิจที่เป็นจุดแข็งของประเทศและบริษัทที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และธุรกิจที่เป็น New Economyด้วย”
ขณะที่ “กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์” ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในงานอย่างน่าสนใจว่า เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ภูมิรัฐศาสตร์ และความต้องการของผู้ลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งตลาดทุนไทยได้พิสูจน์ความสามารถในการยืดหยุ่นท่ามกลางพายุระบบการเงินโลก ความไม่แน่นอนทางการเมือง และภาวะโรคระบาด
เราได้วางบทบาทของตลาดทุนไทยเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม และการเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยยุทธศาสตร์ 3 เสาหลัก ได้แก่ เสาหลักที่ 1 ความน่าเชื่อถือและความเชื่อมั่น ตลาดหลักทรัพย์ฯได้ส่งเสริมความเชื่อมั่นและไว้วางใจผ่านความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานกำกับดูแล เพื่อทำให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายทันเวลา การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและ AI เช่น การใช้ AI ตรวจสอบความผิดปกติของคำสั่งซื้อขาย การเพิ่มความโปร่งใสของข้อมูล ล่าสุดตลาดหลักทรัพย์ฯได้เปิดเผยข้อมูลโปรแกรมเทรดดิ้ง และข้อมูล Short Selling รวมทั้งส่งเสริมระบบนิเวศตลาดทุนให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม
เสาหลักที่ 2 การเพิ่มขีดความสามารถของตลาดทุนไทยให้เป็นที่สนใจ สำหรับผู้ลงทุนในและต่างประเทศ การส่งเสริมการใช้ตลาดทุนในภาคธุรกิจที่เติบโตสูง โดยสนับสนุนอุตสาหกรรมอนาคตให้เข้าตลาดหุ้น ขณะที่ยังมีบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ในธุรกิจดิจิทัลคอมเมิร์ซ การแพทย์สมัยใหม่ การเกษตร และเทคโนโลยีอาหาร เป็นต้น การส่งเสริมพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมและความร่วมมือระดับโลก โดยสนับสนุนให้บริษัทขนาดใหญ่เข้าลงทุนธุรกิจสตาร์ตอัพให้เติบโตเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ mai และ SET รวมถึงการอัปเกรดโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี
เสาหลักที่ 3 การส่งเสริมความยั่งยืนให้บริษัทจดทะเบียน โดยปีที่ผ่านมามีบริษัทรายงานปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 445 บริษัท หรือ 50% ของบริษัททั้งหมด ขณะที่มีการรายงานปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดลง 6.1% รวมถึงการส่งเสริมบรรษัทภิบาล ผู้ถือหุ้น สอดคล้องกับกองทุน TESG ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อดึงดูดการลงทุนผ่านแรงจูงใจทางภาษีสำหรับการลงทุนในบริษัทที่มี ESG ระดับสูง!!
ดังนั้นจึงมั่นใจว่าส่วนสำคัญของเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ ที่เข้ามาไล่ซื้อสุทธิหุ้นไทยอย่างหนาแน่นช่วงนี้ หลังปัจจัยภายในประเทศคลี่คลาย เพราะเขาได้วิเคราะห์ข้อมูลทิศทางนโยบายและศักยภาพ โอกาสการเติบโตของเศรษฐกิจและตลาดทุนไทย รวมทั้งกลุ่มธุรกิจต่างๆของบริษัทจดทะเบียนจากข้อมูลที่ได้จากเวทีโรดโชว์ในงานไทยแลนด์ โฟกัสที่ผ่านมานั่นเอง!!