ตลาดหุ้นไทยร่วงหนัก หลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 วินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลง เหตุเป็นบุคคลที่กระทําการอันไม่ซื่อสัตย์สุจริต และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้าย
ความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นไทยหรือ SET Index วันนี้ (14 ส.ค.67) ระหว่างวันปรับตัวลดลงต่ำสุด 16.80 จุด ก่อนดัชนีฟื้นตัวปิดตลาดอยู่ที่ 1,292.69 จุด ลดลง 5.10 จุด หรือ -0.39% จากวันก่อนหน้า โดยพบว่ามีแรงขายส่วนใหญ่จากกลุ่มค้าปลีก หลังนักลงทุนกังวลว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาล โดยเฉพาะโครงการดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท จะสามารถเดินหน้าได้หรือไม่
กิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ให้ความเห็นกับ “Thairath Money” ว่า ประเด็นดังกล่าวทำให้เกิดความไม่แน่นอนในการผลักดันนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะว่าการเปลี่ยนแปลงนายกรัฐมนตรีนั้นอาจทำให้เกิดความล่าช้า
ประกอบกับตลาดยังไม่แน่ใจว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงนายกรัฐมนตรีที่มาจากพรรคเพื่อไทยหรือไม่ ซึ่งหากไม่ใช่ จะกระทบต่อการเดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญ อย่าง “ดิจิทัลวอลเล็ต” ดังนั้น ทำให้หุ้นในกลุ่มที่น่าจะได้ประโยชน์จากมาตรการดังกล่าว และราคาเคยปรับตัวขึ้นมามากแล้วก่อนหน้านี้อย่างหุ้นกลุ่มค้าปลีก ปรับตัวลดลงแรง
ทั้งนี้ ประเด็นดังกล่าว ทำให้ในระยะสั้นตลาดหุ้นไทยมีความผันผวน โดยต้องติดตามกระบวนการตั้งนายกรัฐมนตรีต่อไป หากนายกรัฐมนตรียังมาจากพรรคเพื่อไทย เชื่อว่าการผลักดันนโยบายต่างๆ จะสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งในกรณีแย่สุด คือ การผลักดันนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ นั้น อาจมีความล่าช้า
กิจพณ กล่าวอีกว่า ในระยะสั้นมองว่าแผนกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศที่ยังมีความไม่แน่นอน และปัจจัยในต่างประเทศยังมีความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอย ทำให้การลงทุนจะต้องมีความระมัดระวังมากขึ้น
โดยแนะนำลงทุนหุ้นในกลุ่มที่สามารถรองรับความผันผวนดังกล่าวได้ ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับพันธบัตรหรือเป็นกลุ่มปลอดภัย อย่างกลุ่มสื่อสาร กลุ่มโรงไฟฟ้า หรือกลุ่มทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) เป็นต้น ส่วนหุ้นกลุ่มค้าปลีก ยังเชื่อว่าโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ จะยังมีการเดินหน้าต่อเนื่อง แนะนำ “ซื้อเมื่ออ่อนตัว”
อย่างไรก็ตาม ประเมินว่า Downside ของดัชนีจะปรับตัวลงไม่ลึกมาก หลังผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 2/67 อยู่ในเกณฑ์ที่ดีและปรับตัวขึ้นได้จากปีก่อน ขณะที่ไตรมาส 3/67 คาดว่าจะออกมาแข็งแกร่ง ประเมินว่าดัชนีที่ระดับ 1,250-1,280 จุด เป็นโซน “ซื้อ”
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้