หลักการลงทุนที่ดีถูกสอนกันในตำราเรียน คือ การลงทุนในหุ้นที่ดีในราคาที่เหมาะสม และต้องอยู่ในธุรกิจที่มีการเติบโตในอนาคต ทำให้นักลงทุนหลายคนต่างพากันหาโอกาสการลงทุนทั่วโลก ซึ่งตลาดหุ้นในเวลานี้ที่เป็นยอดนิยม หนีไม่พ้นตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น และตลาดหุ้นเวียดนาม
ข้ามมาดูตลาดหุ้นไทยกลับตรงกันข้าม นักลงทุนกำลังเบื่อหน่ายและหันหน้าหนี แม้จะมีข้อมูลที่เพิ่งถูกปล่อยออกมาว่า ตลาดหุ้นไทยอาจอยู่ในจุดที่ถูกที่สุดในรอบหลายปี โดยหากวัดที่ระดับ มูลค่าหุ้นทางบัญชี เชื่อหรือไม่ว่า มีมากกว่า 50% ในตลาดหุ้นไทยเวลานี้ที่เทรดต่ำกว่า 1 เท่า แถมบริษัทจำนวนมากยังประกาศซื้อหุ้นคืนอีกต่างหาก
แล้วทำไมนักลงทุนถึงไม่ซื้อหุ้นไทยกัน หรือพวกเขาต่างมองว่าหุ้นไทยนั้นไร้อนาคต?
ข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รายงานว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย มีการซื้อหุ้นคืนจำนวนมาก โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 มีจำนวนบริษัท 968 บริษัท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีบริษัทซื้อหุ้นคืน 379 บริษัท และสูงกว่าช่วงการแพร่ระบาด Covid-19
นอกจากนี้ ในด้านอัตราส่วนราคาต่อมูลค่าหุ้นทางบัญชี (P/B ratio ) ซึ่งช่วงเปรียบเทียบราคาหุ้นของบริษัทกับมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น โดยหากอัตราส่วน P/B ของบริษัทต่ำกว่าหนึ่ง หมายถึงตลาดกำลังประเมินมูลค่าบริษัทต่ำกว่ามูลค่าสินทรัพย์ของบริษัท โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 มีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยมากกว่า 57.1% ที่มีอัตราส่วน P/B ต่ำกว่า 1 เท่า
เอกราช ศรีศุภวิชากิจ ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารฝ่ายลูกค้าธนบดี บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ Thairath Money ว่า ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันระดับราคาหุ้นของหุ้นไทยมีระดับ P/BV ต่ำกว่า 1 เท่าจำนวนมาก เป็นสิ่งที่สะท้อนว่า ราคาหุ้นไทยอยู่ในระดับที่ต่ำเกินไป
“ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากข้อมูลพบว่า ราคาหุ้นเริ่มอยู่ในระดับที่ถูกมาก แม้ว่าราคาจะถูก แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ไม่เห็นการเติบโต จึงยังไม่เห็นเม็ดเงินเข้ามาซื้อ”
ทั้งนี้ สาเหตุหนึ่งที่หุ้นไทยแม้จะถูกมาก แต่ไม่มีใครมาลงทุน เนื่องจากภาพที่ผ่านมายังไม่เห็นเครื่องจักร หรือปัจจัยที่จะช่วยให้ประเทศไทยเติบโตได้ ซึ่งในขณะเดียวกันประเทศอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นจีนที่หุ้นก็ถูก แต่พวกเขาดูมีโอกาสที่จะเติบโตมากกว่า หรือในเวียดนามที่เหมือนพระเอกในเวลานี้ ก็ไม่ได้แพงมาก และดูมีโอกาสการเติบโตที่ดีกว่า
ซึ่งในมุมของเมืองไทย ก็เริ่มเห็นโอกาสการเติบโตบ้างแล้ว หลังจากงบประมาณประจำปี 2567 เริ่มกลับมาใช้อีกครั้ง ส่งผลบวกต่อการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจไทย และน่าจะเกิดการฟื้นตัวได้ในอนาคต
สำหรับการซื้อหุ้นคืนของบริษัทจดทะเบียนไทย เป็นหนึ่งในการสะท้อนว่าราคาหุ้นนั้นถูกเกินไป ซึ่งที่ผ่านมาเราจะเห็นว่า บริษัทที่มีการเติบโตของกำไรที่ดี และมีเม็ดเงินเหลือหลังจากหักงบลงทุนต่างๆ ไปแล้ว เลือกจะเข้ามาซื้อหุ้นคืนกันมากขึ้น ซึ่งในปีนี้เราจะพบว่ามีจำนวนของบริษัทที่ซื้อหุ้นคืนมีจำนวนมากกว่าปกติ
อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทจดทะเบียนมีการซื้อหุ้นคืน จะส่งผลบวกต่อปัจจัยพื้นฐานของหุ้น โดยจะช่วยให้ Ratio ต่างๆ ปรับตัวดีขึ้น ทั้งกำไรต่อหุ้น หรือมูลค่าหุ้นทางบัญชี ซึ่งจะทำให้บริษัทมีโอกาสเข้าไปติดเงื่อนไขการลงทุนของนักลงทุนสถาบัน หรือการเคลื่อนไหวที่ดีกว่าปกติ หากเม็ดเงินไหลกลับมาในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง
สำหรับมุมมองของ บล.กรุงศรี เริ่มเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง หลังจากราคาหุ้นปรับตัวลดลงแรง และเริ่มเห็นระดับราคาเหมาะสม รวมถึงการอนุมัติงบประมาณประจำปี 2567 จะเข้ามาขับเคลื่อนให้ฟื้นตัวได้ และได้มีคำแนะนำลงทุนให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทย